ที่นี่ถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางเดินริมชายฝั่งทะเนะซาชิ หอชมวิวแห่งนี้ให้บรรยากาศเหมือนอยู่ในปราสาทหลังเล็กๆ แห่งหนึ่งซึ่งสามารถมองเห็นมหาสมุทรแปซิฟิกอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาได้ ในบริเวณใกล้เคียงมีทางสำหรับเดินเล่น ในช่วงกลางเดือนมิถุนายนไปจนถึงกลางเดือนกรกฎาคม จะเห็นดอกกุหลาบญี่ปุ่นบานสะพรั่งสร้างสีสันให้กับการเดินเล่นเป็นอย่างยิ่ง และที่พลาดไม่ได้ก็คือไอศกรีมซอฟเสิร์ฟที่ขายอยู่ที่ร้านค้าใกล้ทางขึ้นไปสู่จุดชมวิวด้านบน

เกาะแห่งนี้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยและแพร่พันธุ์ของนกนางนวลหางดำ ซึ่งเป็นสัตว์สงวนตามธรรมชาติของญี่ปุ่น ทางเข้าด้านหน้าเกาะมีเสาโทริอิสีแดงตั้งตระหง่านอยู่ เมื่อเดินเข้าไปในเกาะจะเห็นศาลเจ้าคาบูชิมะซึ่งเป็นที่สถิตของเทพเจ้าแห่งท้องทะเลและจะมีผู้คนมาขอพรในเรื่องการค้าขายให้เจริญรุ่งเรืองกันอย่างมากมาย ในช่วงระหว่างเดือนมีนาคมไปจนถึงเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นช่วงผสมพันธุ์ของนกนางนวลหางดำ จะมีนกนางนวลหางดำบินนับหลายหมื่นตัวบินมาที่เกาะแห่งนี้ ว่ากันว่าใครที่ถูกนกนางนวลขี้ใส่หรือโดน "ระเบิดจากนกนางนวล" ผู้นั้นจะได้รับแต่ความโชคดี? สำหรับคนที่ไม่อยากโดนนกขี้ตกใส่ ก็มีร่มให้ยืมฟรี แต่สำหรับคนที่โดนขี้นกตกใส่ไปแล้ว ก็จะได้รับ "ใบประกาศนียบัตรแห่งความโชคดี" จากศาลเจ้าด้วย

แนวชายฝั่งที่มีความยาว 14 กม. ตั้งแต่เกาะคาบูชิมะไปจนถึงเมืองฮาชิคามิ เต็มอิ่มกับธรรมชาติที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นชายหาดที่เต็มไปด้วยโขดหิน หาดทรายสีขาว ต้นสนริมชายหาด และสิ่งที่พลาดไม่ได้เมื่อมาที่นี่คือทุ่งหญ้าทาเนะซาชิซึ่งเป็นทุ่งหญ้าที่ขึ้นเองตามธรรมชาติในระดับที่คลื่นซัดมาไม่ถึง ให้ความรู้สึกกว้างขวาง ปลดปล่อยความตึงเครียด รู้สึกเป็นอิสระ ตั้งแต่ช่วงต้นฤดูร้อนไปจนถึงฤดูใบไม้ร่วงจะมีดอกไม้นานาชาติบานสร้างสีสันให้กับทุ่งหญ้าแห่งนี้เป็นอย่างยิ่ง และที่นี่ยังได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในทิวทัศน์ที่สวยงามเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย

ชายฝั่งทะเลที่ทอดยาวเป็นระยะทางประมาณ 5.5 กม. อยู่ในบริเวณพื้นที่ของอุทยานซันริคุฟุคโค นอกจากจะได้ชมทิวทัศน์อันงดงามที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นหาดทราย ทุ่งหญ้า ซากหินปะการังแล้ว ยังมีกิจกรรมเก็บหอย จับปูลม จับปลาตัวเล็กๆ ด้วยมือเปล่าได้ที่ชายฝั่งโอจะ ล่องเรือตกปลานำเที่ยวจากท่าเรือโคะมินาโตะเกียวโคไปตกปลากลางทะเลอีกด้วย นอกจากนี้มีทางเดินสำหรับเดินออกกำลังกายตามแนวชายฝั่ง ซึ่งระหว่างทางเดินท่านจะได้พบกับพืชและดอกไม้ชนิดต่างๆ ที่ขึ้นตามชายฝั่งทะเล สร้างความเพลิดเพลินเต็มอื่มกับธรรมชาติไปอีกแบบ

เขาฮาชิคามิมีความสูงจากระดับน้ำทะเล 739.6 เมตร ตั้งอยู่ในเขตเชื่อมต่อระหว่างจังหวัดอาโอโมริและจังหวัดอิวาเตะ ในบริเวณสถานีที่ 8 หรือ 8 โกเมะจะมีที่ราบซึ่งจะมีดอกอาซาเลียบานสะพรั่ง โดยเฉพาะช่วงระหว่างปลายเดือนพฤษภาคมไปจนถึงเดือนมิถุนายนจะเต็มไปด้วยนักปีนเขาจำนวนมากที่เดินทางมาชมความงดงามของดอกอาซาเลียสีชมพูสดใสของที่นี่กัน หากมองไปอีกด้านหนึ่งจะมองเห็นทิวทัศน์ของบ้านเมืองในเมืองฮาชิโนะเฮะได้แบบพาโนราม่า จากจุดนี้จะมีทางเดินไปสู่ยอดเขา หากปีนขึ้นไปจะใช้เวลาเดินประมาณ 30 นาที

ล่องเรือทรงบ้านสไตล์ญี่ปุ่นที่ปูพื้นด้วยเสื่อทาทามิรอบท่าเรือฮาชิโนะเฮะ นอกจากจะได้ซึมซับบรรยากาศของท่าเรือประมงและท่าเรืออุตสาหกรรมแล้ว ยังจะได้เพลิดเพลินกับการให้อาหารนกนางนวลหางดำที่บินอยู่เหนือบริเวณเกาะคาบูชิมะด้วย ส่วนมากหากเกิน 10 คนขึ้นไปลูกค้ามักจะสั่งคอร์สที่รวมอาหารด้วย ซึ่งท่านจะได้เพลิดเพลินกับบรรยากาศของวิวในตอนกลางคืนไปพร้อมกับอาหารอันโอชะที่ใช้อาหารทะเลสดๆ ผักสดๆ จากท้องถิ่น และเพิ่มอรรถรสด้วยการจิบเหล้าสาเกท้องถิ่นของที่นี่อีกด้วย สำหรับท่านที่ไม่อยากทานอาหารบนเรือ เราก็มีโปรแกรมล่องเรือเพียงอย่างเดียวให้บริการด้วยเช่นกัน

ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นสถานที่สถิตของเทพเจ้าที่คุ้มครองแคว้นนัมบุและเป็นศาลเจ้าของเจ้าครองแคว้นนัมบุในยุคคามาคุระ วิหารหลักและประตูด้านหน้าอันงดงามได้สร้างขึ้นในยุคเอโดะ โดยศาลเจ้าแห่งนี้ได้รับการกำหนดให้เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่น และในพิพิธภัณฑ์โคะคุโฮคังได้มีการจัดแสดงทรัพย์สินทางวัฒนธรรมอื่นๆ อีกมากมายรวม 25 ชิ้น ไม่ว่าจะเป็นเสื้อเกราะโบราณที่ถักทอด้วยด้ายสีขาวหรือเสื้อเกราะโบราณที่ถักทอด้วยด้ายสีแดง ที่หาชมได้ยาก

พิพิธภัณฑ์ที่ถ่ายทอดเสน่ห์ของทะเลของเมืองฮาชิโนะเฮะในด้านการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมได้เป็นอย่างดี นอกจากตู้ปลายักษ์ที่มีปลาและเต่าตนุที่อาศัยอยู่ในท้องทะเลที่แหวกว่ายอยู่แล้ว ยังมีโซนที่ให้ใช้มือสัมผัสกับสัตว์น้ำต่างๆ เช่น ปลาดาว ปู โซนแนะนำชีวิตสัตว์ตัวน้อยที่เป็นสัตว์ประจำถิ่นของเมืองฮาชิโนะเฮะไม่ว่าจะเป็นปลาหมึก นกนางนวลหางดำ การแสดงการให้อาหารสัตว์น้ำน้อยใหญ่ การทดสอบแรงดันใต้น้ำลึกให้สนุกสนานเพลิดเพลินในรูปแบบต่างๆ อีกด้วย

ประภาคารสีขาวที่ตั้งอยู่ในเขตโคะมินาโตะของชายฝั่งฮาชิคามิ จากจุดนี้จะมองเห็นมหาสมุทรแปซิฟิกตรงหน้าได้แบบพาโนราม่า 180 องศา ประภาคารแห่งนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้สุดของจังหวัดอาโอโมริ รู้จักกันดีว่าเป็นสถานที่สามารถมองเห็นพระอาทิตย์ขึ้นได้เร็วที่สุดกว่าที่ใดในจังหวัด ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมจะมี "เทศกาลฮาชิคามิ อิจิโกะนิ (น้ำซุปใส่หอยเม่นและเป๋าอื้อ)" ซึ่งจะมีอาหารพื้นเมืองที่ทำจากหอยเม่นและเป๋าฮื้อมากมายจำหน่ายในราคาย่อมเยา

อาหารพื้นเมืองของเมืองฮาชิโนะเฮะและเมืองฮาชิคามิ คำว่าอิจิโกะในภาษาญี่ปุ่นหมายถึงสตรอว์เบอร์รี แต่นี่เป็นซุปที่ใส่วัตถุดิบราคาแพง เช่น หอยเม่นและเป๋าฮื้อลงไป ที่มาของชื่อนี้มาจากเมื่อใส่หอยเม่นลงไปในน้ำซุปสีขาวๆ ขุ่นๆ แล้ว หอยเม่นนั้นจะจมลงในน้ำซุปซึ่งลักษณะคล้ายกับสตรอว์เบอร์รี่ป่าที่ถูกหมอกบางๆ ในยามเช้าปกคลุมอยู่ อาหารชนิดนี้ถือเป็นอาหารมงคลชนิดหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลย ท่านสามารถหาชิมซุปอิจิโกะนิได้ตามร้านอาหารในเมืองฮาชิโนะเฮะและในเมืองฮาชิคามิ สำหรับคนที่อยากซื้อกลับบ้านก็มีซุปกระป๋องจำหน่ายในร้านขายของฝากทั่วไปด้วย

อาหารพื้นเมืองของเมืองฮาชิโนะเฮะที่ใส่เครื่องต่างๆ ลงไปในหม้อไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ ผัก เห็ด และที่สำคัญขาดไม่ได้ก็คือใส่ "เซมเบ้หรือข้าวตัง" ที่มีคุณสมบัติละลายยากแม้จะถูกต้ม ผู้ที่อยากลิ้มลองเมนูนี้สามารถหาทานซุปฮาชิโนะเฮะเซมเบ้จิรุได้ตามร้านอาหารทั่วไปกว่า 200 ร้านในเมืองฮาชิโนะเฮะ น้ำสต๊อกที่ใช้ทำน้ำซุปของแต่ละร้านก็ไม่เหมือนกัน บางร้านก็ใช้ไก่ บางร้านก็ใช้ปลาซาบะ ทำให้ซุปของแต่ละร้านมีรสชาติที่แตกต่างกัน ลองทานเปรียบเทียบแต่ละร้านกันดูก็อาจจะได้ความเพลิดเพลินไปอีกแบบ นอกจากนี้ยังมีเป็นชุดน้ำซุปให้ซื้อกลับไปเป็นของฝากจำหน่ายด้วย

ถนนแห่งนี้ตั้งอยู่ในใจกลางเมืองฮาชิโนะเฮะ มีร้านอาหารสไตล์ยาไตรวมตัวกันอยู่กว่า 26 ร้าน บรรยากาศคึกคักเต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่เดินทางมาสรรหาอาหารที่หลากหลายรับประทานไม่ว่าจะเป็น อาหารพื้นเมือง อาหารทะเล โอเด้ง ไก่ปิ้งหรือยากิโทริ ราเมง แม้ว่าจะเป็นร้านเล็กๆ แต่เจ้าของร้านก็ดูแลให้บริการอย่างใกล้ชิดและทั่วถึง ได้บรรยากาศที่อบอุ่นไปอีกแบบ มาซึมซับกลิ่นอายวัฒนธรรมของตรอกร้านอาหารในยุคโชวะกันได้ที่นี่

โรงกลั่นเหล้าแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี 1775 โดยใช้ข้าวและยีสต์จากจังหวัดอาโอโมริ น้ำสะอาดบริสุทธิ์ในท้องถิ่นที่เลือกคัดสรรมาผลิตเป็นแบรนด์เหล้าสาเกรู้จักกันดีได้แก่ "มุสึฮัตเซน" ที่มีรสกล่อมกล่อมหอมละมุนและ "มุสึโอะโตะโคะยามะ" แบบคารากุจิที่มีส่วนผสมของน้ำตาลน้อย ที่นี่ท่านสามารถเยี่ยมชมกรรมวิธีในการกลั่นเหล้าสาเกได้ และยังมีส่งก่อสร้าง 6 แห่งที่ได้รับการยกย่องให้เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่สามารถจำต้องได้จากกรมวัฒนธรรมของญี่ปุ่นและได้รับเลือกให้เป็นสิ่งก่อสร้างที่สำคัญเชิงทัศนียภาพของเมืองฮาชิโนะเฮะด้วย สำหรับคนที่ชื่นชอบเหล้าสาเกญี่ปุ่น พลาดไม่ได้ที่จะลองชิมเหล้าสาเกหลากหลายประเภทของที่นี่ (มีค่าใช้จ่าย)

"ขบวนรถไฟร้านอาหารโทโฮคุ" ที่วิ่งระหว่างสถานีฮาชิโนะเฮะและสถานีกูจิ ภายในตู้รถไฟได้ดัดแปลงเป็นครัวทำอาหารแบบเปิด ผู้ใช้บริการสามารถเพลิดเพลินกับการนั่งมองทะเลแนวชายฝั่งซันรุคิไป ทานอาหารที่ทำจากวัตถุดิบจากภูมิภาคโทโฮคุไป และที่ประทับใจมากคือคนขับรถไฟจะชะลอความเร็วเมื่อถึงจุดชมวิวสำคัญในแต่ละแห่งด้วย

ศูนย์แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่นำโรงเรียนร้างมาปรับปรุงใหม่ ที่นี่มีสถานที่สำหรับแปรรูปผลิตผลทางการเกษตร 　โรงเผาถ่าน โรงเรือนปลูกพืชผักต่างๆ นอกจากนี้ยังมีเวิร์คช็อปที่น่าสนใจมากมาย เช่น เวิร์คช็อปทำเส้นโซบะ ทำถ่านไม้ ทำเต้าหู้ ทำมิโสะ ทำอาหารเมนูพื้นบ้านแบบฟิวชั่น เป็นต้น นอกจากนี้ในช่วงกลางไปจนถึงปลายเดือนสิงหาคม ทุ่งดอกทานตะวันที่อยู่หลังโรงเรียนจะเบ่งบานความงดงามให้ผู้มาเยือนได้ชมกันอีกด้วย

เทศกาลนี้เป็นเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ที่ชุดของเมืองฮาชิโนะเฮะ ซึ่งมีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 300 ปี จัดขึ้นเพื่ออธิษฐานให้การเพาะปลูกได้ผลผลิตที่ดีและให้เมืองมีแต่ความสงบสุขอยู่รอดปลอดภัย ในขบวนแห่อันอลังการประกอบด้วยซุ้มแห่ 27 หลัง เกี้ยวศาลเจ้าจำลอง การเชิดเสือ การระบำถวายเทพเจ้า โดยผู้ลูกหาบและคนที่อยู่ในขบวนจะเดินกันเป็นแถวมุ่งหน้าไปยังศาลเจ้า เทศกาลนี้ยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของญี่ปุ่นและเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2016 ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของยูเนสโกอีกด้วย

ตลาดเช้าแห่งนี้ตั้งอยู่หน้าสถานีมุสึมินาโตะ มีอาหารทะเลสดๆ ผักสดๆ กับข้าวชนิดต่างๆ มาวางขายตั้งแต่เช้า มีทั้งร้านค้าส่งและค้าปลีก เรียกได้ว่าเป็นครัวของชาวเมืองฮาชิโนะเฮะมาตั้งแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองกันเลยก็ว่าได้ ที่ตลาดมีอาหารทะเล ผักผลไม้ให้เลือกมากมาย ท่านสามารถเลือกกับข้าวตามใจชอบทานเป็นอาหารเช้าในแบบฉบับของตนเองก็ได้

ศิลปะการแสดงพื้นบ้านเพื่อต้อนรับฤดูใบไมผลิที่กำลังจะมาเยือนและขอความเจริญรุ่งเรืองให้มีการเก็บเกี่ยวผลผลิตที่ดี ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของญี่ปุ่น ในขบวนจะมีการตั้งกลุ่มการแสดงที่ชื่อว่า "คณะการแสดงเอ็นบุริ" ซึ่งจะประกอบด้วยสมาชิก 20-30 คนแบ่งหน้าที่กันว่าใครสวมบทไหน ออกมาร่ายรำแล้วเดินไปตามถนน ไฮไลท์ของเทศกาลนี้ที่พลาดไม่ได้คือการที่คณะการแสดงเอ็นบุริกว่า 30 คณะมารวมตัวกันแล้วทำท่า "ไถพรวนดินพร้อมกัน" เดินไปตามใจกลางเมืองฮาชิโนะเฮะ

"เส้นทางเดินตามแนวชายฝั่งมิจิโนะคุ" เป็นเส้นทางตามแนวชายฝั่งที่อยู่ระหว่างเมืองฮาชิโนะเฮะ จังหวัดอาโอโมริและเมืองโซมะ จังหวัดฟุกุชิมะ หนึ่งในเส้นทางตัวอย่างที่อยากจะแนะนำก็คือ "เส้นทางฮาชาโนะเฮะ จังหวัดอาโอโมริ" ซึ่งจะเดินจากสถานี JR ซาเมะ สายฮาชิโนะเฮะไปจนถึงสถานีโอคุกิ ซึ่งระหว่างทางจะเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามของแนวชายฝั่งทาเนะซาชิที่ทอดยาวออกไปสุดลูกหูลูกตา นอกจากนี้ท่านยังสามารถเพลิดเพลิดกับทิวทัศน์ทางธรรมชาติที่หลากหลายตระการตาไปตามแนวทางเดินนี้ โดยจะสังเกตเห็นซากปะการังที่ถูกคลื่นพัดมาถับถมกันบริเวณชายฝั่ง ต้นสนสีเขียวขจีที่ตัดกับพื้นทรายสีขาวและธรรมชาติอื่นๆ อีกมากมาย

หินอนุสรณ์เหล่านี้ได้รวบรวมมาจากร้านแกะสลักหินที่ดีที่สุดจากทั่วประเทศญี่ปุ่น โดยจะเรียกหินเหล่านี้ว่า "เซนยูเซกิ" หรือหินอนุสรณ์ชั้นเยี่ยม ซึ่งหินเหล่านี้จะแสดงจุดที่คลื่นยักษ์สินาซุดเข้ามายังชายฝั่งพร้อมกับถ่ายทอดบทเรียนต่างๆ ที่ได้รับจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ในเมืองฮาชิโนะเฮะมีหินอนุสรณ์นี้ 3 แห่ง สำหรับหินอนุสรณ์ที่ตั้งอยู่ที่ลานกีฬาอเนกประสงค์ในเขตทากะแห่งนี้เป็นเสาหินรูปตัว L กลับหัวล้อมรอบรูปปั้นผู้หญิงที่ทำจากทองเหลือง โดยมีข้อความจากนักเรียนโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นอิชิกาวะสลักอยู่ที่เสาหินเหล่านั้น

ศูนย์ข้อมูลการท่องเที่ยวอุทยานซันริคุฟุคโคและการท่องเที่ยวในบริเวณชายฝั่งทะเลทาเนะซาชิ เขตฮาชิคามิ ภายในอาคารสามารถมองเห็นทุ่งหญ้าธรรมชาติทาเนะซาชิได้ และนอกจากแบบจำลอง ตลอดจนภาพวาดภูมิประเทศและสิ่งมีชีวิตต่างๆ ที่อาศัยอยู่ตามแนวชายฝั่งทาเนะซาชิแล้ว ยังมีร้านกาแฟและร้านค้าให้เข้าไปนั่งพักหรือเลือกซื้อสินค้าด้วย นอกจากนี้มีเวิร์คช็อปสำหรับผู้สนใจที่ใช้สิ่งของจากธรรมชาติมารังสรรค์ประดิษฐ์เป็นสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ และมีกิจกรรมให้ไปสัมผัสกับธรรมชาติและวัฒนธรรม ชีวิตความเป็นอยู่ของคนในท้องถิ่นอีกด้วย

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้แบ่งเป็นสองส่วนได้แก่ ส่วนแสดงเกี่ยวกับการท่องเที่ยวที่จะรวบรวมเสน่ห์ของเมืองฮาชิโนะเฮะมาจัดแสดงไว้ในที่เดียวกัน และส่วนของการจัดแสดงผลงานของศิลปะหรือกิจกรรมของคนในเมืองฮาชิโนะเฮะที่น่าสนใจ อาคารหลังนี้ออกแบบมาให้มีสวนหย่อมอยู่ตรงกลางอาคาร ทางเดินในอาคารทำเหมือนเป็นตรอกซอกซอยเสมือนเดินอยู่ในใจกลางเมือง นอกจากนี้ยังมีลานกว้าง ร้านค้า ร้านอาหารให้นั่งเล่นพักผ่อนหย่อน สำหรับสิ่งที่พลาดไม่ได้เมื่อมาที่นี่คือนาฬิกาซ่อนกลที่ตั้งอยู่ที่ลานกว้างชั้น 1

"ของดีของอร่อยของเมืองฮาชิโนะเฮะ" มารวมอยู่ที่นี่แล้วไม่ว่าจะเป็นอาหารทะเลสดๆ ใหม่ๆ อาหารแห้ง อาหารแปลกๆ ไปจนถึงของซื้อของฝาก เป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีร้านค้าและร้านอาหารทะเลรวมกว่า 60 ร้านค้า นอกจากนี้มีร้านชิจิริงมุรุที่ให้บริการปิ้ง ทอด ย่างอาหารทะเลที่เราซื้อสดๆ กันมาในตลาด ซึ่งได้รับความนิยมจากผู้มาเยือนเป็นอย่างมาก และยังมีกิจกรรมจากทางร้านอาหารต่างๆ ให้ร่วมสนุกกันอีกด้วย

ที่นี่จำหน่ายสินค้าประจำถิ่นของเมืองฮาชิคามิหลากหลายชนิดไม่ว่าจะเป็นอาหารดังประจำท้องถิ่นอย่างซุปอิจิโกะ (ซุปหอยเม่นและเป๋าฮื้อ) แบบกระป๋อง ชุดเส้นโซบะแห่งสไตล์ฮาชิคามิ ราเมงสาหร่าย อีกทั้งมีขนมโฮมเมดต่างๆ เส้นโซบะของเมืองฮาชิคามิที่นวดแป้งให้ดูกันเห็นๆ นอกจากนี้ยังร้านร้านราเมงทะเลและร้านอื่นๆ อีกมากมาย หรือใครที่อยากซื้อกลับบ้านก็สามารถสั่งอาหารไปอิ่มอร่อยที่บ้านได้เหมือนกัน

โรงแรมแห่งนี้ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเลทาเนะซาชิ และอยู่ติดกับประตูทางทิศเหนือของอุทยานซันริคุฟุคโค ภายล็อบบี้และห้องพักจะได้รับลมเย็นๆ จากทะเลเข้ามา มีบ่ออาบน้ำสาหร่ายคอมบุและบ่ออาบน้ำต้มบริสุทธิ์ที่ไม่มีอะไรเจือปนเลยให้แขกผู้เข้าพักได้ผ่อนคลายความเหนื่อยล้า ห้องฝั่งที่ติดกับทะเลจะมองเห็นนกนางนวลที่บินอยู่บนท้องฟ้าเหนือมหาสมุทรแปซิฟิก สำหรับอาหารมีทั้งอาหารญี่ปุ่นและอาหารฝรั่งเศสให้เลือกโดยเลือกใช้วัตถุดิบจากทะเลฝั่งซันริคุมารังสรรค์เป็นเมนูอาหารในรสชาติสไตล์ฮาชิโนะเฮะที่มีความพิถีพิถันและปราณีตเป็นอย่างมาก

ตลาดเช้าสดใหม่ที่เปิดให้บริการในทุกเช้าวันอาทิตย์ ประกอบด้วยร้านค้าต่างๆ อาทิเช่นอาหารทะเลสดและตากแห้งผักผลไม้ เครื่องเคียงต่างๆ สินค้าประเภทแอนทีควางจำหน่ายรวมแล้วมากกว่า 300 ร้าน ตลอดเส้นทางยาว 800 เมตร แม้กระทั่งงานแสดงดนตรีสดก็ยังมีให้ชมได้ที่นี่ นอกจากนี้ยังมีร้านกาแฟริมท่าเรือสำหรับซึมซับบรรยากาศของตลาดนี้อย่างช้าๆ บางวัน คุณอาจจะได้พบคาแรกเตอร์ประจำตลาดแห่งนี้อย่าง "คุณอิกะด้ง"อีกด้วย

รถแท็กซี่ร่วมเดินทางซึ่งจะไปรับคุณที่โรงแรมตั้งแต่เช้า และพาท่านไปเที่ยวชมตลาดเช้าที่สถานีรถไฟมุทสึมินาโตะ (หากเป็นวันอาทิตย์จะพาชมตลาดทาเทฮานะแทน)และไปพักผ่อนอาบน้ำร้อนยังโรงอาบน้ำสาธารณะ ระหว่างทางยังสามารถชมวิวทิวทัศน์และวัฒนธรรมต่างๆของเมืองฮาขิโนะเฮะได้ มีคอร์สที่ออกเดินทางจากโรงแรมในตัวเมือง และจากโรงแรมฮาขิโนะเฮะเอกิมาเอะ โปรดติดต่อเราเผื่อสอบถามรายละเอียดของโรงแรมที่เข้าร่วมโครงการ

คอร์สแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวตามตรอกซอกซอย นำชมโดยผู้ที่รู้ทุกซอกทุกมุมของฮาชิโนะเฮะ แบ่งเป็นคอร์สเที่ยวตรอกร้านอาหาร 2คอร์ส และคอร์สพาเที่ยวชายฝั่งชมทิวทัศน์และชีวิตผู้คน 2คอร์ส และยังมีคอร์สพาเที่ยวตลาดเช้าชื่อดังซึ่งเปิดเฉพาะวันอาทิตย์ที่ทาเทฮานะอีกด้วย

จัดแสดงโบราณวัตถุในยุคก่อนประวัติศาสตร์ซึ่งขุดพบที่โบราณสถานโคเรคาวะ และโบราณสถานคาซาฮาริ นอกจากนี้ยังจัดแสดงงานศิลปะในสมัยโจมง "โจมงโนะบิ" และ โซน "โจมงโนะนาโสะ" ซึ่งแสดงโบราณวัตถุในยุคนั้น และข้อมูลการใช้ชีวิต รวมถึงสภาพภูมิศาสตร์ของสมัยโจมงอีกด้วย อีกหนึ่งไฮไลต์ของที่นี่ก็คือ "ห้องสมบัติประจำชาติ" ซึ่งแสดงเทวรูปดินนั่งชันเข่่าประนมมือ ทั้งยังมีห้องแสดงวัตถุโบราณอื่นๆของยุคโจมงอีกมากมาย

นอกจากจะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเมืองฮาชิโนะเฮะแล้ว ท่านสามารถหาข้อมูลวิธีการเดินทาง และโรงแรมที่พักได้ด้วย ภายในมีการจัดฉาย DVD แนะนำเทศกาลท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นเทศกาลแห่เกี้ยวฮาชิโนะเฮะ ซันชะไทไซ เทศกาลฮาชิโนะเฮะ เอ็นบุริ รวมทั้งการจัดแสดงตุ๊กตารูปปั้นโดกุ ที่เป็นสมบัติของชาติ ซึ่งท่านสามารถหาความรู้ต่าง ๆ เกี่ยวกับเมืองฮาชิโนะเฮะได้ในมุมมองต่าง ๆ ศูนย์แนะนำการท่องเที่ยวแห่งนี้ตั้งอยู่ภายในตัวอาคารสถานีรถไฟ JR ฮาชิโนะเฮะ แวะมาเยี่ยมชมได้สะดวก

"ปลาซาบะฮาชิโนะเฮะ มาเอะโอคิ" เป็นปลาซาบะที่จับได้ในบริเวณท่าเรือฮาชิโนะเฮะ ใกล้ชายฝั่งในทะเลตอนเหนือชายฝั่งซันริคุขึ้นไป ซึ่งสามารถจับได้ในช่วงเวลาที่ "คณะกรรมส่งเสริมแบรนด์ฮาชิโนะเฮะ มาเอะโอคิ ซาบะ" กำหนดไว้เท่านั้น คนในวงการด้านอาหารให้คำนิยามของปลาชนิดนี้ว่าเป็น "ปลาซาบะที่มีความมันมากที่สุดในประเทศญี่ปุ่น" ท่านสามารถลิ้มรสชาติเมนูปลาซาบะได้ที่ร้านอาหารที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกในคณะกรรมการฯ

ท่านจะได้เพลิดเพลินกับ "เสียงที่หาฟังไม่ได้ที่ไหนนอกจากที่นี่" จากอุปกรณ์เครื่องเสียงชื่อดังระดับโลก "Accuphase" "Luxman" รวมทั้งแผ่นเสียงและซีดีเพลงแจ๊สกว่า 6,000 แผ่น ไปพร้อมกับรับประทานกลางวันในบรรยากาศสบาย ๆ และหลังจาก 15.00 น. ท่านจะได้สัมผัสกับเสียงทรงพลังในช่วงเวลาแห่งเพลงแจ๊ส นอกจากนี้ยังมีจัดคอนเสิร์ต แจ๊ส ไลฟ์ ในบางวันอีกด้วย

จัดแสดงรถคลาสสิคจากทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น อิตาลี อังกฤษ โดยนำมาซ่อมแซมด้วยมือ พลาดไม่ได้กับรถรุ่น Cadillac และ Toyota2000GT ที่ยังคงสภาพสภาพดีเยี่ยม ส่องประกายวับวาวราวกับสภาพในยุคสมัยนั้น นอกจากนี้ ท่านยังสามารถทดลองขับ "รถ Formula Nippon อันน่าทึ่ง ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อทดลองใช้" และ "SUPRA GT" ได้อีกด้วย

หินยักษ์มีรูอยู่ตรงกลางเสมือนเป็นหน้าต่าง ซึ่งเกิดจากการกัดเซาะของคลื่นแรงในทะเลบริเวณชายฝั่งซันริคุ เป็นสถานที่สำคัญที่ได้รับการจดทะเบียนอยู่ใน "ซันริคุ จีโอพาร์ค" และในบริเวณโขดหินแนวชายฝั่งยังสามารถมองเห็นซากหอยนางรมในช่วงที่น้ำลดได้ นอกจากนี้บริเวณใกล้เคียงมีสวนสาธารณะที่ชื่อว่า ทะเนะอิจิไคฮินโคเอ็น ซึ่งที่นี่ท่านสามารถอาบน้ำทะเลหรือตั้งแคมป์ได้ด้วย

โขดหินยักษ์ที่เรียงรายกันอยู่ตามแนวชายฝั่งโคะโซะเดะนั้นได้รับการจดทะเบียนอยู่ใน "ซันริคุจีโอพาร์ค" นับเป็นสถานที่ที่สามารถเรียนรู้ประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์ทางธรรมชาติได้เป็นอย่างดี หนึ่งในนั้นหินยักษ์ที่มีชื่อมากที่สุดก้อนหนึ่งก็คือ "หินยักษ์สึริกาเนะโด" ที่มีรูอยู่ตรงกลางหิน สำหรับในเดือนมิถุนายนของทุกปีก่อนหรือหลังถึงวันที่จะเข้าฤดูร้อนอย่างเป็นทางการไม่กี่วัน ท่านจะสามารถมองเห็นแสงอาทิตย์ยามเช้าที่ส่งผ่านรูกลางหินยักษ์นั้นออกมาได้อีกด้วย

ผาหินสูงถึง 200 เมตรและแนวผาหินน้อยใหญ่ที่เกิดจากคลื่นที่กัดเซาะมาเป็นเวลานาน รวมถึงถ้ำเล็กถ้ำน้อยที่เรียงรายเป็นแนวยาวถึง 8 กม. ไม่เพียงแต่วันที่มีแดดออกเท่านั้น วันที่ฝนตกมีหมอกปกคลุมผาหินก็จะสามารถชื่นชมกับความงดงามของผาหินได้อีกแบบ จากจุดชมวิวด้านบนไปจนถึงหน้าผาหินด้านล่างมีบันไดจำนวน 736 ขั้น ซึ่งท่านสามารถเดินลงไปชมความงดงามของผาหินได้ในความสูงที่คลื่นซัดมาไม่ถึง

ถ้ำริวเซนโดเป็น 1 ใน 3 ของถ้ำหินปูนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่นและได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นอนุสาวรีย์ทางธรรมชาติที่ได้รับการสงวนรักษาไว้ของญี่ปุ่นด้วย ภายในถ้ำมีความยาวถึง 3,600 เมตร แต่ในปัจจุบันเปิดให้เข้าชมเพียง 700 เมตรเท่านั้น ท่านจะได้สัมผัสกับธรรมชาติในอีกรูปแบบหนึ่งด้วยการเดินในถ้ำดูหินงอกหินย้อยที่เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติชนิดหนึ่งซึ่งเกิดอย่างต่อเนื่องมาเป็นช้านานและการชมทะเลสาบมีการได้รับการยกย่องว่าเป็นทะเสลาบสีฟ้าที่สวยใสราวกับภาพวาด ระหว่างการเดินชมถ้ำเราจะเห็นช่องระหว่างหินรูปหัวใจอีกด้วย

ท่านสามารถล่องเรือหาปลาขนาดเล็กที่มีชื่อว่า "เรือสัปปะ" ชม "ถ้ำสีน้ำเงิน"เมืองโจโดกะฮามะ หรือที่เรียกว่าถ้ำ 8 อุโมงค์ลอด เมื่อมีแสงอาทิตย์ส่องเข้ามาจากบริเวณปากถ้ำ เราจะเห็นน้ำทะเลใสๆ ในถ้ำกลายเป็นสีเขียวมรกตบ้าง สีน้ำเงินเข้มบ้าง สร้างความประทับใจเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ว่ากันว่าหาใครได้เห็นน้ำพุพุ่งออกมาจากรูของถ้ำด้านในสุดแล้วตั้งคำอธิษฐาน คำอธิษฐานนั้นก็เป็นจริง ไม่กรุณาจองก่อนล่วงหน้า

น้ำพุกลางทะเลที่พุ่งสูงเป็นอันดับต้นๆ ในประเทศญี่ปุ่น ช่องที่น้ำพุพุ่งออกมานั้นเกิดจากการกัดเซาะของคลื่น เวลาที่คลื่นซัดเข้ามาที่ฝั่งจะซัดน้ำทะเลมาด้วยทำให้เกิดแรงกระทบที่ช่องนี้ เราจึงเห็นเหมือนน้ำพุพุ่งออกมาจากทะเล หากเป็นคลื่นที่ไม่แรงมากก็จะไม่เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ แต่หากเป็นคลื่นแรงประกอบกับมีลมทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือด้วยละก็ น้ำทะเลอาจพุ่งสูงขึ้นกว่า 30 เมตรเลยทีเดียว

จุดชมวิวที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองมิยาโกะ ในยุคเอโดะมีพระรูปหนึ่งได้เปรียบเปรยสถานที่แห่งนี้ว่าสวยงามราวกับ "สรวงสวรรค์แห่งพระอมิตาภพุทธะ" ชาดหาดแห่งนี้เต็มไปด้วยหินสีขาวรูปทรงคาบสมุทรเรียงรายเป็นแถว ต้นสนอันเขียวชะอุ่ม หินกรวดสีขาวและน้ำทะเลสีฟ้าอันงดงาม ซึ่งสีสันของหิน ต้นสนและน้ำทะเลนี้สามารถตัดกันได้อย่างลงตัวสร้างมนต์เสน่ห์ให้แก่ผู้พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ทิวทัศน์ของที่นี่ยังเปลี่ยนไปตามฤดูกาล เช่น ในฤดูหนาวก็จะปกคลุมไปด้วยหิมะ สร้างความงดงามไปอีกแบบ

บางคนเชื่อว่าที่มาของชื่อชายหาดแห่งนี้มาจากเสียงที่ได้ยินว่า คิริคิริ เมื่อเราเดินบนชายหาดของที่นี่ บางคนก็เชื่อว่ามาจากภาษาไอนุ ซึ่งคำว่า คิริคิริ หมายถึงหาดทราย เมื่อตอนที่เกิดสึนามิในช่วงเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ผ่านมาชายหาดแห่งนี้ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน แต่ในปัจจุบันได้กลับมาเป็นชายหาดที่งดงามเช่นเดิมแล้ว

สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ถ่ายทำซีรีส์ญี่ปุ่นเรื่อง "อะมะจัง สาวน้อยแห่งท้องทะเล" ซึ่งเป็นซีรี่ส์ละครที่โด่งดังทั้งในประเทศญี่ปุ่นและต่างประเทศ ภายในอาคารมีการจัดแสดงอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในการถ่ายทำและภาพถ่ายทิวทัศน์หรือบรรยากาศระหว่างการถ่ายทำ นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงแบบจำลองย่อขนาดของเมืองคิตะซันริคุและป้ายร้านกาแฟที่ปรากฏในซีรีส์ด้วย ซึ่งถ้าหากใครเป็นแฟนซีรีส์เรื่องนี้แล้วพลาดไม่ได้ที่จะมาเยือนที่นี่

พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่ตั้งอยู่ใต้ดินโดยใช้สถานที่ดั้งเดิมที่เมื่อก่อนเคยเป็นอุโมงค์สำหรับเก็บน้ำมันของเมืองกูจิ จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในภูมิภาคโทโฮคุที่ผ่านมาพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งนี้ได้รับความเสียหายทั้งอาคารแต่ได้เปิดให้บริการอีกครั้งเมื่อเดือนเมษายน 2016 ท่านจะได้สัมผัสกับชีวิตของสัตว์น้ำระหว่างการลอดอุโมงค์ใต้น้ำอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้จะได้พบกับ "เต่าแห่งความโชคดี" เนื่องจากเต่าตนุตัวนี้เป็นเต่าที่รอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิดจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในครั้งนั้น และมีการแสดงโชว์จากอะมะจังและนักประดาน้ำในวันเสาร์ อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ให้ได้ชมกันอีกด้วย

เมืองกูจิเป็นแหล่งผลิตอำพันที่สำคัญของประเทศญี่ปุ่น ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีการจัดแสดงอำพันของประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะว่าอำพันที่มีฟอสซิลหรือซากแมลงอยู่ข้างใน เครื่องประดับต่างๆ ที่ทำมาจากอำพัน ซึ่งผู้เข้าชมจะได้ทราบประวัติความเป็นมาของอำพันพร้อมกับซึมซับเสน่ห์ของอำพันไปพร้อมกัน สิ่งที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่คือซากฟอสซิล "ขนนกปีกหลัง" อายุกว่า 87 ล้านปี ซึ่งถือได้ว่าเก่าแก่ที่สุดและเป็นครั้งแรกที่ขุดพบในจังหวัดอิวาเตะ นอกจากนี้ท่านจะได้สัมผัสประสบการณ์การขุดหาอำพันและการทำเครื่องประดับ (มีค่าใช้จ่าย) อีกด้วย

เหมืองแร่โนะดะทามะกาว่าเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นเหมืองแร่แมงกานีสที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น มีความลึก 420 เมตร ความยาวทั้งหมด 28 กม. ซึ่งในปัจจุบันเปิดให้เข้าชมเป็นบางส่วนเท่านั้น ในเหมืองแร่มีอุณหภูมิประมาณ 10 องศาตลอดทั้งปี ในเหมืองแร่ยังมีการจัดแสดงภาพจำลองการขุดเหมืองแร่ และหินฟอสซิลอันล้ำค่าจากทั่วโลกด้วย สำหรับของฝากที่พลาดไม่ได้ของที่นี่คือแร่โรโดไนท์สีดอกกุหลาบ ซึ่งได้รับความนิยมจากผู้มาเยือนที่จะหาซื้อกลับไปเป็นอย่างมาก เนื่องจากที่เมืองโนะดะมุระแห่งนี้เป็นแหล่งที่ขุดพบแร่ดังกล่าวเป็นแห่งเดียวในญี่ปุ่น

เจ้าแม่กวนอิมปางอุ้มปลาไว้ในมือขนาด 48.5 เมตรที่ตั้งตระหง่านอยู่บนเนินเขาหันหน้าไปทางอ่าวคาเมะอิชิ ปางอุ้มปลานี้เป็นปางหนึ่งใน 33 ปางที่ถือว่าเป็นปางที่แสดงถึงความเมตตาของท่านในการช่วยเหลือมนุษย์ ในบริเวณใกล้เคียงมีจุดชมวิว ซึ่งสามารถมองเห็นวิวชายฝั่งได้โดยรอบ นอกจากนี้ยังมีเจ้าแม่กวนอิม 33 ปางและเทพเจ้าแห่งโชคลาภทั้ง 7 ประดิษฐานอยู่ให้ผู้เยี่ยมชมไปขอพรกัน ด้านนอกมี "ระฆังขอพร" ซึ่งเป็นที่รู้กันในหมู่คู่รักว่าเป็น "ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องความรัก" อีกด้วย

เมืองคามะอิชิเป็นเมืองที่เป็นต้นกำเนิดของเหล็กในรูปแบบที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้ถ่ายเรื่องราวของเหล็กในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผ่านโรงหนังที่สามารถสัมผัสประสบการณ์ในการตีเหล็กได้จากจอภาพ มีการจัดแสดงเตาหลอมเหล็กโบราณที่เรียกว่า ฮัตชิโนะโคโระ ในขนาดเท่าของจริง นอกจากนี้ยังมีเอกสารทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการตีเหล็ก มีหน้าจอแสดงภาพให้เข้าง่ายขึ้น มีกิจกรรมเวิร์คช็อปทำพวงกุญแจ (ค่าเข้าร่วมกิจกรรม 500 เยน) จากระเบียงของจุดชมวิวสามารถมองเห็นอ่าวคามะอิชิได้อีกด้วย

คาบสมุทรมัตซากิเป็นคาบสมุทรที่ยื่นออกมาในอ่าวโอฟุนาโตะ และส่วนที่ต่อกับคาบสมุทรมัตซากินี้คือชายฝั่งโกอิชิซึ่งมีความยาวถึง 6 กม. การนั่งเรือหาปลาขนาดเล็กล่องไปตามคลื่นทะเลก็เป็นอีกรูปแบบของการท่องเที่ยว ซึ่งระหว่างเส้นทาง ท่านจะได้เพลิดเพลินกับโขดหินยักษ์ หินที่มีรูปทรงแปลกๆ หน้าผาหินตามแนวชายฝั่ง ว่ากันว่าหากลอดผ่านช่อง "อะนะโตะโอะชิโสะ" ซึ่งเกิดจากการกัดเซาะของคลื่นทั้ง 3 ช่องแล้วจะทำให้คนที่ลอดมีความสุข สำหรับการล่องเรือเป็นกลุ่มกรุณาจองก่อนล่วงหน้าอย่างน้อย 1 วัน

เหมืองเหล็กแห่งนี้เป็นหนึ่งใน "มรดกจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นในยุคเมจิ" ซึ่งถือเป็นมรดกโลกด้วยเช่นกัน ในเหมืองจะได้ชมร่องรอยของแหล่งที่ใช้ขุดหาเหล็ก ร่องรอยการขนส่งเหล็กและซากของเตาหลอมเหล็ก สำหรับเตาหลอมเหล็กที่จัดแสดงอยู่นี่ถือเป็นเตาหลอมเหล็กสไตล์ตะวันตกที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น ซึ่งมีประกอบด้วยเตาหลอมทำด้วยหิน 3 เตาและทางระบายน้ำ นอกจากนี้ยังมีภาพวีดีทัศน์และหน้าจอเพื่ออธิบายประวัติศาสตร์ของเหมืองเหล็กฮาชิโนะแห่งนี้ด้วย

ดอกสึบากิเป็นดอกไม้ที่เป็นสัญลักษณของเมืองโอฟุนาโตะ ดอกสึบากิกว่า 550 ชนิดจาก 13 ประเทศทั่วโลกได้ถูกปลูกไว้ในโรงกระจกขนาดใหญ่ ซึ่งผู้มาเยือนสามารถชมความงดงามของดอกสึบากิหลากหลายสีได้ ไม่ว่าจะเป็นสีแดง สีชมพู สีขาว สีเหลือง ดอกสึบากิจะบานตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคมไปจนถึงปลายเดือนเมษายน และช่วงระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคมจะเป็นช่วงพีคที่ดอกสึบากิจะบานเต็มที่ นอกจากนี้ที่นี่ยังมีน้ำมัน เครื่องสำอาง ขนมที่ทำจากจากดอกสึบากิวางจำหน่ายด้วย

พิพิธภัณฑ์ที่ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับสึนามิเมื่อครั้งที่เกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่ผ่านมา ภายในพิพิธภัณฑ์จะมีไกด์คอยให้คำอธิบายประกอบการชมวีดีทัศน์ภาพของคลื่นสึนามิที่ซัดถล่มเข้ามาและฟังเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากไกด์ของเราได้ นอกจากนี้มีโซนจัดแสดงรูปถ่ายของเมืองโอฟุนาโตะทั้งก่อนและหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวเพื่อให้ผู้เข้าชมได้ทราบถึงความน่ากลัวจากภัยสึนามิ กรุณาจองก่อนล่วงหน้าอย่างน้อย 3 วัน และตั้งแต่เดือนเมษายน 2017 มีกำหนดจะย้ายสถานที่ไปยังหน้าสถานี JR โอฟุนาโตะ

ร้านขายของประจำถิ่นที่อยู่หน้าป้ายรถบัส BRT "คิเซกิโนะอิปปอนมัตสึ (ต้นสนปาฏิหาริย์)" ในร้านมีของประจำถิ่นของเมืองริคุเซนทาคาตะให้เลือกซื้อมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ของฝากประเภทต่างๆ อาหารทะเล เหล้าสาเกญี่ปุ่น โชยุ น้ำผลไม้ นอกจากนี้ยังมีร้านราเมง ร้านกาแฟ อยู่ในบริเวณเดียวกันด้วย หน้าร้านมีที่จอดรถสำหรับผู้มาชม "ต้นสนปาฏิหารย์" ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของการฟื้นฟูเมืองหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงในภูมิภาคโทโฮคุที่ผ่านมา จากร้านสามารถเดินไปชมต้นสนต้นนี้ได้ โดยใช้เวลาเดินประมาณ 10-15 นาที

หอยโฮยะหรือเพรียงหัวหอมได้รับการขนานนามว่าเป็น "สัปปะรดแห่งทะเล" เขตทาเนะ เมืองฮิโรโนะถือเป็นแหล่งที่จับหอยโฮยะนี้ได้มากที่สุดแห่งหนึ่ง วิธีการจับจะใช้วิธีจับแบบดั้งเดิมโดยการใส่หมวก ใส่ชุดดำน้ำแล้ว "มุดลงไป" ใต้ท้องทะเลน้ำลึกหลายสิบเมตร โดยใช้มือจับขึ้นมา สำหรับผู้ที่อยากลิ้มลองรสชาติของหอยโฮยะ สามารถหาทาน "โฮยะราเมง" ได้ตามร้านอาหารในเมืองทั่วไป ซึ่งจะมีหอยโฮยะและสาหร่ายวากาเมะวางอยู่บนเส้นราเมง

สามารถหาทานข้าวหน้าทะเลอันแสนหรูได้ที่ร้าน "ซันไคริ" (2,980 เยน) ซึ่งตั้งอยู่ใน "ยามาเสะโดะฟูคัง จุดพักรถเมืองกูจิ" ข้าวดงบุรินี้ประกอบด้วยซาชิมิกุ้งโบตัน หอยเป๋าฮื้อที่ได้จากชายฝั่งทะเลซันริคุมาโปะบนหน้าข้าวแบบพูนๆ โดยจะรับประทานให้ครบชุดกับสาหร่ายเมกาบุใส่ในถ้วยเล็กๆ และ "น้ำซุปนิโฮจิรุ" ที่ใส่ทั้งหอยเม่นและเป๋าฮื้อลงไปน้ำซุป สำหรับผู้ที่สั่งเมนูนี้จะแถมผ้าเช็ดมือแบบออริจินอลให้ด้วย เนื่องจากเมนูนี้มีจำนวนจำกัดในแต่ละวัน หากสนใจแนะนำให้สั่งจองก่อนล่วงหน้า

อาหารพื้นเมืองของเมืองกูจิ มาเมะบุหมายถึงแป้งข้าวสาลีที่นำมาปั้นเป็นก้อนกลมๆ แล้วสอดไส้น้ำตาลแดงและถั่ววอลนัทเข้าไป สำหรับน้ำซุปมาเมะบุจะใช้น้ำซุปจากสาหร่ายคอมบุและปลาแห้ง จากนั้นจะใส่มาเมะบุ ผัก เต้าหู้ขาว เต้าหู้อาบุระอาเกะหรือเต้าหู้แผ่นบางทอดลงไป สามารถหาทานน้ำซุปมาเมะบุและหาซื้อมาเมะบุได้ตามร้านค้าในเมืองกว่าสิบร้านค้า

ไวน์เนอรี่แห่งนี้เริ่มปลูกองุ่นมาตั้งแต่ปี 2016 ตั้งอยู่บนเนินเขาที่สามารถมองเห็นมหาสมุทรแปซิฟิกได้ จังหวัดอิวาเตะที่พื้นที่สำหรับปลูกองุ่นบนภูเขามากที่สุดในญี่ปุ่น และเมืองโนะดะมุระถือเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงในการปลูกองุ่นมากแห่งหนึ่ง ด้วยลมเย็นๆ ที่เรียกว่า "ยามาเสะ" ที่พัดมาจากมหาสมุทรแปซิฟิก ทำให้ไวน์ของที่นี่มีความเปรี้ยวที่กำลังดีและมีความเป็นรสของผลไม้สูง ตั้งแต่สิ้นเดือนเมษายนไปจนถึงสิ้นเดือนสิงหาคมในวันเสาร์ อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์มีให้บริการชิมไวน์ด้วย

ในเมืองยามาดะนิยมเลี้ยงหอยนางรมอย่างแพร่หลาย ช่วงระหว่างต้นเดือนพฤจิกายน-ปลายเดือนมิถุนายนจะมีบริการบุฟเฟ่ต์หอยนางรม โดยนำหอยนางรมมานึ่งมาย่างทั้งเปลือกบนเตาร้อนๆ โดยมีเวลาในการทานทั้งหมด 40 นาที (รวมเวลานึ่ง 10 นาที) และพนักงานของร้านจะช่วยแกะเปลือกให้เพื่อที่ลูกค้าจะได้ทานหอยนางรมสดๆ ได้เยอะๆ กรุณาจอง (ก่อนล่วงหน้า 2 วัน) สำหรับช่วงที่ไม่ใช้หน้าของนางนางรม ในช่วงเดือนกรกฎาคม-ตุลาคม จะเสิร์ฟเป็นเมนูอาหารทะเลปิ้งย่าง

ลักษณะพิเศษของ "คามะอิชิราเมง" ก็คือเส้นที่บางเล็กอยู่ในน้ำซุปใสสีอำพันรสโชยุ รสชาติทานง่ายไม่เลี่ยน ทานแล้วนึกถึงน้ำซุปในสมัยก่อน ใครๆ ก็ทานได้ เมนูนี้มีให้บริการตามร้านอาหารจีนและร้านอาหารชุดทั่วไปในเมืองคามะอิชิ เส้นนุ่มลื่น ทานง่าย ลองลิ้มลองรสชาติของหลายๆ ร้านและนำมาเทียบกัน ก็จะได้ความเพลิดเพลินไปอีกแบบ

เมืองโอฟุนาโตะเป็นเมืองที่สามารถจับปลาซัมมะได้มากเป็นอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่น ภายในเมืองมีร้านอาหารที่มีเมนู "โอะฟุนาโตะซัมมะราเมง" ที่ใช้ปลาซัมมะสดๆ ให้ลิ้มลอง 7 ร้านด้วยกันด้วยราคา 700 เยนเหมือนกันหมด แต่รสชาติของน้ำซุปไม่ว่าจะเป็นน้ำซุปรสโชยุหรือรสเกลือจะมีความแตกต่างกันในแต่ละร้าน เครื่องที่อยู่ในราเมงก็จะมีการดัดแปลงตามสไตล์ของแต่ละร้านด้วยเช่นกัน

รถไฟขบวนนี้เป็นรถไฟนำเที่ยวสายซันริคุเทตสึโดเรียสที่วิ่งระหว่างเมืองกูจิและเมืองมิยาโกะตามแนวชายฝั่งทะเล ที่นั่งเป็นแบบหย่อนขาลงไปในช่องด้านล่างเหมือนกับนั่งอยู่กับโต๊ะโคทัตสึ ข้าวกล่องหน้าทะเลที่คัดสรรมาเป็นอย่างดีก็ได้รับความนิยมจากผู้ที่นั่งรถไฟขบวนนี้มากเช่นกันแต่ผู้ใดสนใจรับประทานข้าวกล่องนี้จะต้องสั่งจองก่อนล่วงหน้า นอกจากนี้ท่านจะได้เพลิดเพลินกับไกด์นำเที่ยวที่แต่งตัวเป็นอะมะซัง (สาวน้อยแห่งท้องทะเล) ซึ่งคอยแนะนำและอธิบายรายละเอียดตามสถานที่ต่างๆ ไปพร้อมกับการทานข้าวกล่องไป ชมทิวทัศน์สองข้างทางอันงดงามไป สามารถจองตั๋วของรถไฟขบวนนี้ได้ก่อนล่วงหน้า 1 เดือน

จากซีรีย์ละครโทรทัศน์ที่ฉายในตอนเช้าในช่อง NHK ของญี่ปุ่นที่ชื่อว่า "อามะจัง" ทำให้ชายฝั่งโคะโซะเดะซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำละครเรื่องนี้กลายมาเป็นที่รู้จักกันว่ามี "โฮะคุเกนโนะอามะ" หรือสาวน้อยแห่งท้องทะเลที่ดำน้ำลงไปจับปลาด้วยมือเปล่า ทุกวันเสาร์ อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ในช่วงระหว่างเดือนกรกฎาคม-กันยายนจะมีการแสดงดำน้ำจับปลาโดยอามะให้ชมกัน นอกจากนี้ที่ศูนย์โคะโซะเดะอามะยังมีอาหารทะเลประจำถิ่น ข้าวหน้าหอยเม่นสด (จำกัดจำนวน) อาหารพื้นเมือง เช่น ซุปอิจิโกะนิที่ใส่หอยเม่นและหอยเป๋าฮื้อ น้ำซุปมาเมะบุ ไอศกรีมซอฟเสิร์ฟรสเกลือ ให้ได้เลือกลิ้มลองกันอีกด้วย

ของประจำถิ่นของเมืองโนะดะมุระ "เกลือโนะดะ" ที่ได้มาจากน้ำทะเลธรรมชาติแท้ๆ โดยใช้กรรมวิธีแบบดั้งเดิมที่เรียกว่า "จิกะนิ" เริ่มตั้งแต่การกรองน้ำทะเลใต้พื้นดินตามธรรมชาติ จากนั้นนำไปใส่ในหม้อเหล็กต้มจนตกผลึกโดยใช้ฟืนในการต้มเป็นระยะเวลา 4 วัน ลักษณะพิเศษของเกลือที่นี่คือรสชาติที่กลมกล่อมและมีแร่ธาตุจากน้ำทะเลสูง นอกจากนี้ยังสามารถเยี่ยมชมโรงงานผลิตเกลือของเราได้ด้วย แต่กรุณาจองก่อนล่วงหน้า พร้อมกับเพลิดเพลินไปกับเวิร์คช็อปการทดลองทำเกลือ โดยเสียค่าบริการคนละ 500 เยน

ล่องเรือทิวทัศน์อันงดงามที่คิตะยามะซากิ ผ่านชมผาหิน หินยักษ์รูปทรงต่างๆ ที่เกิดจากคลื่นกัดเซาะและถ้ำเล็กถ้ำน้อยที่เรียงรายต่อกัน สำหรับ "เรือครูซนำเที่ยวผาหินที่คิตะยามะซากิ" เป็นเรือนำเที่ยวโดยเฉพาะโดยจะล่องผ่านเบนเทนซากิ ยาโกชิซากิและคิตะยามะซากิ ซึ่งท่านสามารถให้อาหารนกนางนวลหางดำที่บินอยู่ในบริเวณนั้นได้ สำหรับ "เรือผจญภัยสัปปะ" (กรุณาจองก่อนล่วงหน้า) จะใช้เรือจับปลาขนาดเล็กที่ชาวประมงในพื้นที่นั้นใช้กันพาชมแนวผาหินตามธรรมชาติอันงดงาม

ทัวร์ปีนเขาชมธรรมชาติที่คิตะยามะซากิไปกับไกด์ผู้เชี่ยวชาญ (กรุณาจองก่อนล่วงหน้าก่อน 17.00 น. ของวันก่อนหน้า) มีตั้งแต่คอร์สที่เดินรอบแนวชายฝั่งและบริเวณจุดชมวิวบนทางเดินที่เรียบๆ ไม่ค่อยชันเท่าไร ไปจนถึงคอร์สที่เรียกกันว่าเทือกเขาแอลป์ริมทะเล ซึ่งท่านสามารถเลือกคอร์สที่เหมาะกับแรงกายและเวลาที่มีอยู่ได้ มาเพลิดเพลินกับการปีนเขารับลมทะเลกันเถอะ

"โคทัตสึเรตชะ" เป็นขบวนรถไฟสำหรับท่องเที่ยวที่มีเฉพาะในฤดูหนาวเท่านั้น โดยที่นั่งเป็นแบบหย่อนขาลงไปในช่องด้านล่างเหมือนกับนั่งอยู่กับโต๊ะโคทัตสึและมีผ้าห่มเตรียมคลุมตัวคลุมขาด้วย ตรงขาจะมีลมอุ่นๆ ออกมา ร่างกายอุ่น ใจอุ่นก็สามารถเพลิดเพลินกับการท่องเที่ยวด้วยรถไฟได้อย่างเต็มที่ ในรถไฟจะมีการละเล่นพื้นบ้านที่จะมีปีศาจชื่อ "นะโมะมิ" ออกมาเล่นการแสดงให้ดู รับรองว่าจะประทับใจจริงๆ มาลุ้นกว่าว่า "นะโมะมิ" จะโผล่ออกมาตอนไหนจากอุโมงค์ส่วนไหนกันดีกว่า
※ฉากที่ "นะโมะมิ" ปรากฏตัว

รถจักรไอน้ำขบวนนี้เป็นรุ่น C58-239 ซึ่งนำมาปรับปรุงให้เหมือนใหม่และใช้เป็นรถไฟนำเที่ยวสำหรับวิ่งระหว่างสถานีฮานะมากิ สาย JR คามะอิชิ-สถานีคามะอิชิ ภายในรถไฟตกแต่งด้วยคอนเซปต์ที่ว่า "รถไฟจักรไอน้ำแห่งทางช้างเผือกในยามค่ำคืน" ของนักเขียนชื่อดังของญี่ปุ่นที่ชื่อว่า เคนจิ มิยาซาว่า ซึ่งรถไฟขบวนนี้จะเต็มไปด้วยสีสันของโลกที่คุณเคนจิ มิยาซาว่าได้จินตนาการไว้ตั้งแต่ยุคไทโชไปจนถึงยุคโชวะ นอกจากนี้ยังมีแกลลอรี่และหอดูดาวให้ผู้นั่งรถไฟได้สัมผัสโลกแห่งทางช้างเผือกตามนิยายที่คุณเคนจิ มิยาซาว่าได้เขียนไว้เสมือนจริง

เพลิดเพลินกับการล่องเรือจับปลาที่บังคับโดยชาวประมงในท้องถิ่น เมืองโคะอิชิฮามะเป็นเมืองที่เลี้ยงเป๋าฮื้ออย่างกันแพร่หลายและได้รับความนิยมมากเนื่องจากเนื้อเป๋าฮื้อของ "โคะอิชิฮามะ" นี้มีความหนานุ่มและมีความหวานในตัว อร่อยล้ำ หากเพิ่มอีก 500 เยน จะสามารถเข้าไปเยี่ยมชมฟาร์มเป๋าฮื้อได้ ที่สำคัญมีเป๋าฮื้อสดๆ ให้ชิมกันบนเรือด้วย หากได้ทานเป๋าอื้อจากทะเลสดๆ แล้ว จะไม่มีวันลืมความอร่อยนั้นอีกเลย (กรุณาจองก่อนล่วงหน้า 1 สัปดาห์)

เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2011 หมู่บ้านทะโนะฮาตะมุระเป็นหมู่บ้านที่ได้รับผลกระทบจากคลื่นยักษ์สึนามิอย่างหนักไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือนหรือท่าเรือก็ได้รับความเสียหายเช่นกัน จากการที่พวกเราได้หนีภัยมาด้วยกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกันตั้งแต่อาศัยอยู่ที่บ้านพักชั่วคราวที่สร้างขึ้นมาแบบง่ายๆ จนถึงตอนนี้ที่ย้ายมาอาศัยอยู่ที่บ้านพักที่ได้รับการฟื้นฟูและปรับปรุงแล้ว พวกเราก็ยังมีความผูกพันกันและอยากจะถ่ายทอดประสบการณ์จากความเสียหายที่เกิดขึ้นเพื่อเป็นบทเรียนให้กับคนรุ่นหลังได้ฟังต่อไป (กรุณาจองก่อนล่วงหน้า 1 วัน หากจะให้บรรยายในวันนั้นเลย กรุณาสอบถาม)

หลังจากที่ได้รับความเสียหายจากเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในภูมิภาคโทโฮคุที่ผ่านมา ซันริคุเทตสึโดได้เปิดให้บริการรถไฟอีกครั้งเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าบ้านเมืองได้รับการฟื้นฟูและจะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งแล้วตั้งแต่เดือนเมษายน 2014 ระหว่างที่นั่ง "รถไฟเพื่อเรียนรู้ภัยจากแผ่นดินไหว" ไปตามทาง ท่านจะได้เห็น ได้ฟัง ได้สัมผัสบรรยากาศของบ้านเมืองไปพร้อมกับการเรียนรู้วิธีการป้องกันภัยต่างๆ นอกจากนี้จะมีการจอดรถไฟให้ท่านได้ลงไปสัมผัสกับบรรยากาศในพื้นที่ประสบภัย โดยจะมีเจ้าหน้าที่ของซันริคุเทตสึโดหรือผู้ที่อยู่อาศัยตามแนวทางรถไฟคอยให้คำบรรยายบนรถไฟตลอดการเดินทาง (กรุณาจอง)

ไกด์จะพาขึ้นไปบนเขื่อนกันคลื่นที่อยู่ริมชายฝั่งแล้วเล่าเรื่องราวความเสียหายและบทเรียนต่างๆ ที่เกิดขึ้นหลังเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในภูมิภาคโทโฮคุที่ผ่านมาเป็นเวลา 1 ชั่วโมง ภาพวีดีทัศน์ที่ถ่ายจากชั้น 6 ของ "โรงแรมทะโรคังโค" ซึ่งคลื่นสึนามิยักษ์สูงถึง 17 เมตรได้ซัดถล่มมาถึงชั้น 4 เป็นภาพที่หาชมได้ยากและเมื่อได้ชมแล้วจะทราบว่าพลังของคลื่นสึนามิยักษ์นั้นมีมากแค่ไหน นอกจากนี้ยังมีคอร์สที่จะพาเดินไปตามทางอพยพหนีภัย เดินชมหินยักษ์ซันโออิวะ เป็นเวลา 2 ชั่วโมงด้วย กรุณาจองก่อนล่วงหน้า

เรียวกังแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้บริเวณชายฝั่งเนะฮามะ เมืองคามะอิชิ และขึ้นชื่อว่าเป็นเรียวกังที่เสิร์ฟอาหารทะเลจากซันริคุได้อร่อยประทับใจ ในตอนที่เกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่นั้น คลื่นสึนามิได้ซัดมาถึงชั้น 2 ของโรงแรม ซึ่งได้รับความเสียหายเช่นกัน แต่หลังจากนั้น 10 เดือนก็ได้เปิดให้บริการใหม่อีกครั้ง โอกามิหรือผู้ดูแลเรียวกังแห่งนี้และเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดพร้อมที่จะถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ จากประสบการณ์และบทเรียนที่ได้รับจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น รวมถึงความประทับใจที่มีต่อเมืองคามะอิชิให้กับผู้มาเยือนทุกท่าน

ทัวร์ที่จะถ่ายทอดเรื่องราวในอดีต ปัจจุบันและอนาคตที่จะเกิดขึ้นในเมืองริคุเซนทาคาตะ คอร์สการเรียนรู้จะใช้เวลา 90 นาที โดยมีไกด์ผู้เชี่ยวชาญคอยบรรยายตามสถานที่ต่างๆ ไม่ว่จะเป็นต้นสนปาฏิหาริย์ซึ่งเป็นต้นสนต้นเดียวที่รอดชีวิตมาจากภัยสึนามิได้อย่างปาฏิหารย์ จุดพักรถ TAPIC ที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง รวมไปถึงการก่อสร้างเขื่อนกันคลื่นโดยใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยต่างๆ มาประยุกต์ใช้ กรุณาจองก่อนล่วงหน้า โดยให้บริการตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป

ร้านจำหน่ายสินค้าประจำถิ่นมีสินค้ามากมายไม่ว่าจะเป็น ผักท้องถิ่นสดๆ ตามฤดูกาล อำพันขึ้นชื่อของเมืองกูจิ ภายในศูนย์การท่องเที่ยวมีการแสดงเกี้ยวศาลเจ้าจำลอง ซุ้มแห่ในขบวนขนาดใหญ่ที่ใช้ใน "เทศกาลฤดูใบไม้ร่วงของเมืองกูจิ" และฉายวีดีทัศน์ภาพบรรยากาศของเทศกาลจริงๆ นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารที่จะเสิร์ฟเมนู "อามะด้ง" หรือข้าวหน้าทะเลที่มีหอยเป๋าฮื้อและหอยโฮยะวางอยู่บนข้าวและเมนู "ไคอุนด้ง" หรือข้าวแห่งความโชคดีที่จะมีใบเซียมซีแถมมาด้วย ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้มาแวะเยือนเป็นจำนวนมาก

ศูนย์นักท่องเที่ยวแห่งนี้ตั้งอยู่ข้างๆ กับหอชมวิวคิตะยามะซากิ จากระเบียงสามารถมองเห็นมหาสมุทรแปซิฟิกได้ นอกจากวีดีทัศน์เล่าเรื่องราวความงดงามของคิตะยามะซากิทั้งสี่ฤดูแล้ว ยังมีการจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ นอกจากนี้ยังมีเวิร์คช็อป (มีค่าใช้จ่าย) สอนทำที่ห้อยมือถือ กรอบรูปแบบตั้ง เทียน แนะนำการท่องเที่ยวในจังหวัด รับจองตั๋วล่องเรือหาปลาขนาดเล็กและทัวร์ท่องธรรมชาติต่างๆ อีกด้วย

ที่นี่จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับทิวทัศน์ทางธรรมชาติอันสวยงานของอุทยานซันริคุฟุคโคซึ่งมีความยาวจากเหนือจรดใต้ 300 กม. ตั้งอยู่ริมฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก ภายในอาคารมีการฉายวีดีทัศน์ของอุทยานซึ่งครอบคลุมพื้นที่ของจังหวัดอาโอโมริ อิวาเตะและมิยากิ รวม 18 เมือง นอกจากนี้ยังมีการแนะนำข้อมูลของเส้นทางเดินตามแนวชายฝั่งมิจิโนะคุ　สิ่งที่น่าสนใจในเมืองโจโดกะฮามะ รวมถึงเส้นทางสำหรับเดินเล่นในบริเวณนั้นอีกด้วย

เมืองกูจิเป็นแหล่งผลิตอำพันที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น สามารถหาชมอำพันเมื่อ 85 ล้านปีที่แล้วและเลือกซื้อเครื่องประดับที่ทำจากอำพันที่มีชิ้นเดียวโลกได้ที่นี่ ในพิพิธภัณฑ์มีเวิร์คช็อปให้ท่านจะได้สัมผัสกับประสบการณ์ในการขุดหาอำพันใต้พื้นดินในยุคครีเทเชียสโดยใช้สิ่วตีน้ำแข็งเจาะลงไปที่ชั้นดินแล้วนำอำพันที่ขุดได้นั้นมาทำเป็นเครื่องประดับเป็นของตัวเองอีกด้วย

ขนมรูปไข่ขึ้นชื่อประจำจังหวัดอิวาเตะ โดยนำเม็ดถั่วโอเทะโบ ซึ่งเป็นเม็ดถั่วในตระกูลเดียวกับเม็ดถั่วฝักยาวขาว น้ำตาล แป้งสาลี ไข่ไก่มากวนให้เข้ากันจนได้สีเหลืองอ่อนๆ แล้วนำมาห่อด้วยแป้งคัสเตลลาและเคลือบด้วยไวท์ช็อกโกแลตด้านนอกอีกชั้นหนึ่ง นอกจากนี้ขนมชนิดนี้ยังนำมาแปะทองคำเปลวที่เรียกว่า "โคฮาคุคาโมะเมะโนะทามาโกะ" ซึ่งใช้ในงานมงคล เช่น งานแต่งงานหรืองานเฉลิมฉลองต่างๆ และยังมีรสเมลอน รสสตรอว์เบอร์รี่ ซึ่งมีวางจำหน่ายเฉพาะฤดูกาลอีกด้วย อีกทั้งบริษัทของเราก็ยังจัดให้มีการเยี่ยมชมโรงงาน

เกาะที่มีความยาวรอบเกาะ 200 เมตร ตั้งอยู่ในอ่าวโอสึจิ ด้วยรูปร่างที่มีลักษณะคล้ายน้ำเต้าจึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "เกาะน้ำเต้า" ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองโอสึจิอีกสัญลักษณ์หนึ่ง ในเกาะมีศาลเจ้าซึ่งมีเทพเจ้าเบ็นไซเต็ง ซึ่งเป็นหนึ่งในเทพเจ้าแห่งโชคลาภทั้งเจ็ดและเป็นเทพเจ้าที่คอยคุ้มครองให้ชาวประมงปลอดภัยและหาปลาได้เยอะๆ อีกด้วย แม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่แต่ศาลเจ้าแห่งนี้และรูปปั้นของเทพเจ้าเบ็นไซเต็งก็ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ เลย ท่านสามารถเดินเลาะมาตามสันเขื่อนจากชายฝั่งสู่เกาะแห่งนี้ได้

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้เริ่มเปิดให้บริการอีกครั้งเมื่อเดือนกรกฎาคม 2017 หลังจากเกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในภูมิภาคโทโฮคุ ภายในพิพิธภัณฑ์มีการจัดแสดงระบบนิเวศน์ในทะเลของชายฝั่งซันริคุอันอุดมสมบูรณ์ที่มีปลาวาฬอาศัยอยู่ ไฮไลต์ของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้คือโครงกระดูกจริงของปลาวาฬหัวทุยที่พบในกลางทะเลซันริคุ ซึ่งเป็นปลาวาฬที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีลำตัวยาวถึง 17.6 เมตร น้ำหนัก 60 ตัน

ในตอนเช้าของทุกๆ วันจะมีอาหารทะเลตามฤดูกาลของซันริคุที่จับมาได้สดๆ จากท่าเรือโอฟุนาโตะมาวางเรียงรายกันมากมายหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นอาหารแห้ง สาหร่าย อาหารแปลกๆ อาหารแปรรูปที่สามารถเก็บไว้ทานได้ นอกจากนี้ยังมีของฝากให้เลือกซื้อกลับไปด้วย ภายในบริเวณมีร้านอาหารที่ขายอาหารชุดในเมนูต่างๆ และไคเซนด้งหรือข้าวหน้าทะเลให้ท่านได้ลองลิ้มชิมรสกันอีกด้วย

จากเหตุการณ์คลื่นสึนามิที่เกิดขึ้นตอนเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในภูมิภาคโทโฮคุที่ผ่านมาทำให้ต้นสนกว่า 70,000 ต้นในสวนสนทาคาตะถูกพัดพาไปกับสายน้ำแต่มีต้นส้นเพียงต้องเดียวที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นได้ เราจึงตั้งชื่อต้นสนต้นนี้ว่า "ต้นสนปาฏิหาริย์" แต่หลังจากนั้นได้เฉี่ยวเฉาลงเนื่องจากดูดซับน้ำทะเลในปริมาณมากเกินไป โดยตอนนี้ได้อนุรักษ์เป็นอนุสาวรีย์เพื่อให้คนรุ่นหลังรับรู้ถึงภัยแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น ในทุกๆ วันจะมีการเปิดไฟตั้งแต่ตอนพระอาทิตย์ตกดินไปจนถึง 21.00 น.

กระท่อมชาวประมงที่ทำด้วยไม้จำนวน 23 หลังตั้งเรียงรายติดต่อกันในอ่าวเล็กๆ ของสึคุเอะฮามะ ภายในหมู่บ้านมีการจัดแสดงที่วางเครื่องมือหาปลา บ้านสำหรับปฏิบัติงาน โดยได้รับคัดเลือกให้เป็น "หมู่บ้านชาวประมงที่ควรคงเหลือไว้ให้รุ่นต่อไป หนึ่งในร้อยสมบัติทางวัฒนธรรมและประวัติศาสร์" เคยได้รับความเสียหายจากภัยสึนามิที่ซัดถล่มเข้ามาแต่ในปัจจุบันได้เปิดให้เข้าชมอีกครั้งแล้ว นอกจากนี้ยังจะได้เพลิดเพลินกับการฟังคำบรรยายของไกด์ในกระท่อมบางส่วน เวิร์คช็อปการทำเกลือ เวิร์คช็อปทำอาหารชาวประมง สำหรับผู้สนใจเข้าร่วมเวิร์คช็อปต้องจองก่อนล่วงหน้า

พื้นที่สำหรับเข้าชมและพูดคุยเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของกีฬารักบี้ในเมืองคามะอิชิ และความเป็นมาของกีฬารักบี้ ถูกสร้างขึ้นเป็นที่ระลึกหลังจากทีมรักบี้ Kamaishi Seawaves แข่งชนะในลีคระดับประเทศถึง 7 แมทช์ติดต่อกัน ซึ่งที่นี่รวบรวมทั้งวีดีโอการแข่งขัน ลูกรักบี้ที่ใช้ เสื้อทีม และลายเซ็นผู้เข้าแข่งขัน ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีเครื่องเล่นสำหรับเด็ก และโซนฝึกเล่นรักบี้สำหรับเด็กอีกด้วย

เมืองเคเซ็นนุมะได้รับการขนานนามเป็นเมืองช่างไม้ที่เก่งที่สุดหนึ่งในสี่แห่งของชาติมาตั้งแต่สมัยเอโดะ อาคารหลักที่ซ่อมแซมจากบ้านเรือนประชาชนจนมาเป็นพิพิธภัณฑ์นั้นเป็นอาคารไม้สร้างแบบสมมาตรและมุงหลังคาด้วยพืชซึ่งเป็นวิธีการก่อสร้างของสมัยเมจิตอนต้น โดยทั้งอาคารไม่เว้นแม้แต่เสาเรือนถูกสร้างขึ้นด้วยไม้ซีดาร์จากเคเซ็นนุมะทั้งสิ้น จุดเด่นอีกอย่างของอาคารคือจั่วด้านบน และการใช้พื้นที่ให้ดูโปร่งโล่ง

ล่องเรือหรูชมอ่าวและทิวทัศน์ของแนวเขาเบื้องหลัง พร้อมรับประทานอาหารอาหารทะเลอาทิเช่นหอยนางรมบนเรือ เมนูแบ่งเป็นคอร์สกลางวัน ออกเดินทางเวลาเที่ยงตรง และคอร์สกลางคืน ออกเดินทางเวลาหกโมงเย็น คอร์สอาหารกลางวันเสิร์ฟเป็นเบนโตะ (ข้าวกล่อง)สั่งทำพิเศษพร้อมเครื่องดื่ม คอร์สกลางคืนมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เสิร์ฟไม่อ้ัน รอบใดมีผู้โดยสารเกิน 10 ท่าน หรือเช่าเหมาลำเกิน20 ท่านมีไกด์แนะนำเส้นทางฟรี

ลานตั้งแคมป์ที่ใช้ห้องน้ำ และอุปกรณ์ประกอบอาหารฯลฯ ซึ่งเคยถูกใช้งานในช่วงแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี 2011 นอกจากแนวคิดในการลดจำนวนขยะที่เกี่ยวกับเหตุการณ​สึนามิแล้ว ที่นี่ยังมีสัญลักษณ์ซึ่งบอกความสูงของคลื่นยักษ์สึนามิที่รุกรานเข้ามาในพื้นที่ เพื่อเตือนใจผู้เยี่ยมชมจากทั่วโลกให้ใส่ใจในการหลบภัยขึ้นที่สูงเมื่อเกิดสึนามิ

สถานที่อเนกประสงค์ที่สามารถมองเห็นอ่าวคามะอิชิที่ผสมผสานระหว่างธรรมชาติอันกว้างใหญ่และท่าเรืออุตสาหกรรมได้อย่างลงตัว บนชั้น 2 มีร้านอาหาร 4 ร้าน ท่านสามารถลิ้มรสอาหารที่ใช้วัตถุดิบจากท้องถิ่นได้ นอกจากนี้ ชั้น 1 มีบ่อปลาแสดงสัตว์ทะเลที่จับได้ในท้องถิ่น มีครัวเปิดสำหรับชมการประกอบอาหาร และมุมจัดแสดง/จำหน่ายสินค้า และลานกว้างด้านนอกยังใช้เป็นสถานที่สำหรับจัดงานอีเว้นต์อยู่บ่อยครั้งอีกด้วย

สวนรำลึกถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ภายในบริเวณเป็นที่ตั้งของ "อิโนะจิโอะสึนากุ มิไรคัง" สถานที่สำหรับถ่ายทอดเรื่องราวของภัยแผ่นดินไหวและเป็นแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับการป้องกันภัยภิบัติ "คามะอิชิ อิโนริ โนะ ปาร์ค" สถานที่แสดงการรำลึก "อุโนะซาโตะ โคริวคัง" สถานที่จำหน่ายสินค้าที่ส่งตรงมาจากผู้ผลิตและร้านอาหาร สวนรำลึกแห่งนี้เปิดเข้าชมตั้งแต่เมื่อฤดูใบไม้ผลิ ปี 2019 ที่ผ่านมา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวและบทเรียนที่ได้รับจากการเกิดแผ่นดินไหวนอกชายฝั่งแปซิฟิกโทโฮคุ ค.ศ. 2011 รวมถึงความสำคัญและความงดงามของการมีชีวิตอยู่

จุดพักรถแห่งที่ 2 ในจังหวัดอิวาเตะที่ได้รับการจดทะเบียน ซึ่งสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่ประสบภัยแผ่นดินไหวและสึนามินอกชายฝั่งแปซิฟิกโทโฮคุ ค.ศ. 2011 แห่งหนึ่งที่ยังคงเหลือร่องรอยของภัยแผ่นดินไหวไว้ เพื่อถ่ายทอดความน่ากลัวจากภัยสึนามิให้กับคนรุ่นหลังได้ทราบ ในปัจจุบันบริเวณโดยรอบเป็นสวนสาธารณะที่เต็มไปด้วยความหวังในการฟื้นฟูเมืองทาคาดะมัตสึบาระ โดยมีกำหนดเปิดอาคารถ่ายทอดเรื่องราวจากแผ่นดินไหวและสึนามินอกชายฝั่งแปซิฟิกโทโฮคุ ค.ศ. 2011 ในเดือนกันยายน 2019

โรงแรมที่พักค้างคืน/พักแบบไปเช้าเย็นกลับที่สร้างด้วยแนวคิดที่จะ "ผสมผสานความลงตัวระหว่างไม้กับคน" ผนังของอาคารใช้ไม้สนคิเซ็นสุกิ ซึ่งเป็นไม้ของท้องถิ่น ส่วนพื้นทำด้วยไม้จากจังหวัดอิวาเตะ นอกจากห้องพักทั้งหมด 14 ห้องแล้ว ยังมีระเบียงอันกว้างใหญ่ที่สามารถมองเห็นชายฝั่งเว้าแหว่งของซันริคุได้ รวมทั้งมีคาเฟ่ บาร์ที่มีเตาผิงไม้พาเลท และห้องเวิร์คช็อปสำหรับจัดประชุมหรือจัดงานอีเว้นต์ต่าง ๆ ได้

คาบสมุทรอิวาอิซากินี้อยู่ในอุทยานซันริคุฟุคโค ส่วนปลายสุดของคาบสมุทรมีช่องโหว่ซึ่งเกิดจากการกัดเซาะของคลื่น เวลาที่คลื่นซัดเข้ามาที่ฝั่งจะพัดพาน้ำทะเลมาด้วยทำให้เกิดแรงกระทบที่ช่องนี้ เราจึงเห็นเหมือนน้ำพุพุ่งออกมาจากทะเล เราจึงเรียกหินก้อนนี้ว่า "หินน้ำพุกลางทะเล" ในบริเวณใกล้เคียงมีต้นสนที่รอดชีวิตจากภัยสึนามิมาได้อย่างปาฏิหารย์ และเนื่องจากมีรูปร่างหน้าตาที่คล้ายมังกร เราจึงเรียกต้นสนต้นนี้ว่า "ต้นสนมังกร" ซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยอีกสัญลักษณ์หนึ่งไปแล้ว

"แท่งหิน" ของโขดหินยักษ์โอกามะนี้มีลักษณะเหมือนเสาหินอ่อนที่เกิดจากการกัดเซาะของคลื่น มีความสูงถึง 16 เมตร ความกว้าง 3 เมตร ตั้งตระหง่านอยู่ในทะเลที่มีคลื่นลมพัดแรงอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังมีโขดหินรูปร่างแปลกๆ อีกมายมาย เช่น "หินสิงโตทะเล" ที่ว่ากันว่าสิงโตทะเลชอบไปนอนพักผ่อนบนหินก้อนนี้ "หินอุโมงค์" ซึ่งเกิดจากการที่คลื่นกัดเซาะทำให้เกิดรูที่หินจนน้ำทะเลสามารถทะลุไหลผ่านเข้าไปได้

จุดชมวิวชื่อดังของเมืองมินามิซันริคุ คลื่นที่ซัดเข้ามาระหว่างหินรูปร่างแปลกๆ ทั้ง 2 ก้อนเกิดเป็นภาพอันงดงามสร้างความประทับให้กับผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ทิวทัศน์ในบริเวณนี้ที่สีเขียวขจีของต้นสนตัดกับสีขาวสะอาดบริสุทธิ์ของหาดทรายยังได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งใน 100 ทิวทัศน์ที่งดงามที่สุดของญี่ปุ่นด้วย ในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์และปลายเดือนตุลาคม จะสามารถมองผ่านลอดระหว่างหินเพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้นได้ มีตำนานเล่าว่าหมู่บ้านสองหมู่บ้านที่อยู่ติดกันเกิดทะเลาะกันข้ามหมู่บ้าน เทพเจ้าจึงทุบหินที่คาบสมุทรแห่งนี้ให้เป็นเส้นแบ่งเขตแดนของหมู่บ้านทั้งสอง

เกาะนี้สามารถนั่งเรือจากท่าเรืออิชิโนะมากิได้โดยใช้เวลาประมาณ 40 นาที มีความยาวรอบเกาะประมาณ 11 กม. เมื่อก่อนมีการเลี้ยงแมวเพื่อจับหนู จึงว่ากันว่าในปัจจุบันในเกาะแห่งนี้มีประชากรแมวมากกว่าคนอยู่อาศัยเสียอีก ใจกลางเกาะมีศาลแมวตั้งอยู่ด้วย นอกจากนี้ในเกาะแห่งนี้ยังมีบ้านพักที่สามารถทานอาหารทะเลแสนอร่อยและมองเห็นทะเลสีฟ้าครามให้ผู้ที่ชอบความเงียบสงบไปนอนพักผ่อนกันอีกด้วย

หน้าผาซากะเคเป็นหนึ่งในสามของหน้าผาที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ทิวทัศน์ที่สวยงามนี้เกิดจากการกัดเซาะของคลื่นในมหาสมุทรแปซิฟิกและลมฝนที่กัดกร่อนหินจนมีรูปทรงดังเช่นในปัจจุบัน บนหินสีขาวอันสวนงามมีต้นสนอันเขียวขจี ใต้หน้าผามีถ้ำที่เกิดจากการกัดเซาะของคลื่น ทิวทัศน์ที่สวยงามของที่นี่มีมากมายนับไม่ถ้วนจริงๆ นอกจากนี้ท่านยังสามารถล่องเรือชมความงดงามของหน้าผาใกล้ๆ หรือจะมองแหงนขึ้นไปก็จะเห็นหน้าผาในมุมอีกแบบที่มีความงดงามของธรรมชาติเช่นกัน

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินเขา สามารถมองเห็นเมืองเคะเซนนุมะได้แบบพาโนราม่า อาคารพิพิธภัณฑ์มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวจึงได้รับรางวัลจากสมาคมสถาปนิกแห่งประเทศญี่ปุ่น จนมีผู้มาเยือนหลายคนที่ต้องการมาเพื่อมาดูสถาปัตกรรมของอาคารหลังนี้โดยเฉพาะ ภายในจัดแสดงข้อมูลเอกสารที่เกี่ยวข้องกับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับชายฝั่งทะเลซันริคุที่ได้รับความเสียหายจากภัยสึนามิ รวมถึงรูปถ่ายและสิ่งของที่ได้รับความเสียหาย ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ทีมงานได้เก็บรวบรวม จดบันทึกเอาไว้หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ภูมิภาคโทโฮคุในครั้งนั้น นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงข้อมูลเกี่ยวกับ "อาหาร" ของคนในท้องถิ่นและผลงานทางศิลปะต่างๆ ที่น่าสนใจอีกด้วย

เมืองเคะเซนนุมะเป็นเมืองที่ผลิตหูฉลามได้มากที่สุดในญี่ปุ่น และที่นี่ก็คือพิพิธภัณฑ์ปลาฉลามแห่งเดียวในประเทศญี่ปุ่น ภายในมีการจัดแสดงรูปปั้นจำลองปลาฉลามขนาดยักษ์ที่กำลังอ้าปากอยู่ โปรเจ็คชั่นแมปปิ้งของภาพปลาฉลามวาฬที่มีลำตัวยาว 4 เมตร นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงต่างๆ ที่ผู้เข้าชมสามารถสัมผัสประสบการณ์เหล่านั้นได้ด้วยการสัมผัส และยังมีโซนแสดงข้อมูลและภาพความเสียหายของเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น รวมถึงสภาพการฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยในปัจจุบัน

ย่านร้านค้าแห่งนี้เปิดให้บริการชั่วคราวตั้งแต่ปี 2012 หลังจากที่ได้รับความเสียหายจากเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้น แต่เมื่อเดือนธันวาคม 2016 ได้ปิดลงชั่วคราวและเพิ่งเปิดใหม่อีกครั้งอย่างเป็นทางการในปี 2017 นี้เอง อาคารในย่านร้านค้าแห่งนี้ควบคุมการสร้างโดยสถาปนิกระดับโลกที่ชื่อว่า เกนโกะ คุมะ มีร้านค้าทั้งหมด 28 ร้าน ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านขายปลา ร้านขายผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรนานาชนิด สำหรับร้านอาหารทั้ง 5 ร้านมีเมนูประจำถิ่นของมินามิซันริคุที่ชื่อว่า "มินามิซันริคุคิระคิระด้ง" หรือข้าวหน้าทะเลที่หามาเที่ยวที่นี่แล้วไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ที่ร้านขายปลาสามารถซื้อซาชิมิหรือข้าวหน้าทะเลกลับบ้านได้ด้วย

ภายในพิพิธภัณฑ์มีการจัดแสดงเรือใบจำลองที่ทำด้วยไม้แบบตะวันตกที่ชื่อว่า " Sant Juan Bautista" ซึ่งใช้เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลระหว่างญี่ปุ่นและสเปนเมื่อราว 400 ปีที่แล้ว พร้อมด้วยการแสดงข้อมูลทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมในสมัยนั้นไม่ว่าจะเป็นการเข้าเฝ้าจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันของท่านดาเตะ ประวัติของท่านฮาเซคุระ สึเนนากะที่เดินทางไปปฏิบัติงานในทวีปยุโรปในครั้งนั้น สำหรับนักเรียนที่ยังอยู่ในระดับ ม.ปลายหรือต่ำกว่านั้นเข้าชมฟรี ในตอนนี้เนื่องจากจะมีซ่อมแซมเริจำลองจึงของดการเยี่ยมชมบนเรือและไม่ให้เข้าไปในอาคารด็อก (ยังไม่มีกำหนดวันที่จะเปิดให้เข้าชมอีกครั้ง)

ศาลเจ้าแห่งนี้ตั้งอยู่ตรงกลางเกาะ "คิงกะซัน" ซึ่งเป็นเกาะที่อยู่ห่างจากปลายคาบสมุทรโอชิกะไม่ไกลมากนัก ศาลเจ้าแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อ 1,270 ปีที่แล้วในวาระเฉลิมฉลองการจุดพบทองเป็นครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่น เชื่อกันว่ามีเทพเจ้าแห่งโชคลาภและความโชคดีสถิตอยู่ที่ศาลเจ้าแห่งนี้และมีคำบอกเล่าต่อๆ กันมาว่า "หากมากราบไหว้ติดต่อกันเป็นเวลา 3 ปีแล้วจะทำให้ทั้งชีวิตไม่มีปัญหาเรื่องการเงินเลย" ศาลเจ้าแห่งนี้จึงมีคนจำนวนมากที่แห่แหนกันมากราบไหว้ขอพรอย่างไม่ขาดสาย

ภายในพิพิธภัณฑ์มีการแสดงผลงานของโชตะโร อิชิโนะโมริที่เป็นผู้เขียนการ์ตูนเรื่อง "มาสค์ไรเดอร์" "ไซบอร์ก 009" นอกจากนี้ยังมีการฉายการ์ตูนอนิเมชั่น จัดแสดงหน้ากากแบบต่างๆ ของมาสค์ไรเดอร์ ภาพลายเส้นก่อนที่จะมาเป็นการ์ตูนอีกด้วย ในอาคารที่มีรูปร่างคล้ายยานอวกาศนั้นตั้งอยู่ในตำแหน่งของสันดอนทรายของแม่น้ำพอดี ซึ่งสภาพภูมิประเทศคล้ายเกาะแมนแฮตตัน เขตปกครองท้องถิ่นของนครนิวยอร์กพอดีจึงเรียกอาคารนี้ว่า "มังงัตตัน" ซึ่งเป็นคำที่นำคำว่ามังงะมารวมกับคำว่าแมตฮัตตัน

ศูนย์การค้าใกล้ๆ สถานี JR โอนะกาวะ โดยเดินตามทางเท้าที่ปูด้วยอิฐแดงมาทางทะเลจะมีร้านค้า 35 ร้านเรียงรายกันอยู่ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ซุปเปอร์มาเก็ตขนาดเล็กหรือร้านค้าปลีกต่างๆ สำหรับอาคารที่ใกล้กับทะเลมากที่สุดคือ "Hama Terrace" ซึ่งที่นี่จะมีของฝากให้เลือกซื้อมากมาย ท่านสามารถเพลิดเพลินกับการซื้อสินค้าทะเลแปรรูป ปลาสดๆ หรือจะนั่งทานอาหารทะเลตามฤดูกาลสดๆ ที่ร้านอาหาร มองทะเลไปช้อปปิ้งไป ทานข้าวไปได้ตามอัธยาศัยเลย

ภายในพิพิธภัณฑ์มีการจัดแสดงสภาพการดำรงชีวิต เครื่องใช้ที่ทำด้วยดิน เครื่องใช้ที่ทำด้วยหิน เครื่องนุ่งห่มแบบต่างๆ ของคนในยุคโจมง ซึ่งอยู่ในช่วงประมาณศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล นอกจากนี้ยังมีการแสดงซากเปลือกหอยที่ค้นพบ ในทุกวันเสาร์และอาทิตย์จะมีการพาชมซากเปลือกหอยในยุคนั้น วิธีการก่อไฟ วิธีการทำเครื่องประดับและสัมผัสกับวิถีชีวิตของคนในสมัยนั้นในรูปแบบต่างๆ มากมายโดยไม่จำเป็นต้องจองก่อนล่วงหน้า (สำหรับวันธรรมดา กรุณาจองก่อนล่วงหน้า)

วัดเอ็นทสึอินเป็นวัดที่ดาเตะ มิตสึมุเนะสร้างขึ้น ซึ่งหลานแท้ๆ ของดาเตะ มาซามุเนะ ผู้ครองแคว้นเซนไดรุ่นแรก เพื่อใช้เป็นสุสานประจำตัว ที่บรรจุศพของท่านหรือ "ซังเคเดน" นั้นถือได้ว่าเป็นที่บรรจุศพที่มีความเก่าแก่มากที่สุดที่ค้นพบในจังหวัดมิยากิ (ได้รับการกำหนดให้เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่น) ภายในวัดมีสวนญี่ปุ่น ซึ่งในฤดูใบไม้ร่วงจะมีแสงไฟส่องไปที่ใบไม้สร้างสีสันอันงดงาม และในฤดูกาลอื่นๆ ก็จะมีดอกไม้เบ่งบานให้ชื่นชมในอีกหลายบรรยากาศ นอกจากนี้ที่วัดแห่งนี้ยังมี "เจ้าแม่กวนอิม" ที่ว่ากันว่าศักดิ์สิทธิ์มากในเรื่องการผูกชะตาความสัมพันธ์ของคนสองคนเข้าด้วยกัน และยังมีตุ๊กตาโคะเคะชิที่จะช่วยผูกชะตาความสัมพันธ์วางเรียงรายกันอยู่เป็นจำนวนมาก หากท่านใดสนใจ ที่นี่ก็มีเวิร์คช็อปร้อยลูกประคำในแบบฉบับของตนเองด้วย

คันรันเทย์เป็นห้องสำหรับจิบน้ำชาที่ท่านดาเตะ มาซามุเนะรับสืบทอดมาจากท่านทะโยโตะมิ ฮิเดโยชิ ไดเมียวคนสำคัญของญี่ปุ่นเมื่อ 400 ปีที่แล้ว ซึ่งย้ายจากเมืองเกียวโต ผ่านเมืองเอโดะ แล้วมาสร้างใหม่ในรูปแบบเดียวกันที่พื้นดินแห่งนี้ ในส่วนของพื้นที่ยกระดับขึ้นสูงหรือที่เรียกว่าโทะโคะโนะมะจะมีภาพวาดฝีมือสีสันสดใสติดไว้และภายในห้องแต่ละห้องมีบานประตูกั้นห้องที่มีลวดลายที่ถูกวาดออกมาได้อย่างปราณีตงดงามเป็นอย่างมาก ท่านสามารถเพลิดเพลินกับการจิบน้ำชาไป มองทิวทัศน์อันสวยงามของอ่าวมัตสึชิมะได้ที่ห้องดื่มชาของที่นี่

วัดโกะไดโดเป็นวัดที่ท่านดาเตะ มาซามุเนะสร้างขึ้นใหม่ ถือได้ว่าเป็นแลนด์มาร์คของอ่าวมัตสึชิมะเลยก็ว่าได้ ภายในวิหารมีพระพุทธรูปโกะไดเมียวโอประดิษฐานอยู่ โดยจะเปิดให้เข้าชมองค์พระโกะไดเมียวโอได้ 33 ปีครั้งเท่านั้น ผนังทั้ง 4 ด้านของวิหารมีการแกะสลักของ 12 นักษัตร เนื่องจากวัดโกะไดโดอยู่บนเกาะเล็กๆ ดังนั้นเวลาจะเดินข้ามไปจะต้องข้ามสะพานสีแดงที่เรียกว่าสะพานสุกะชิบาชิก่อน ซึ่งซี่ของไม้ที่ทำเป็นพื้นของสะพานห่างกันมากทำให้สามารถมองเห็นทะเลด้านล่างได้อย่างชัดเจน

วัดซุนกันจิแห่งนี้สร้างเสร็จในปี 1609 หลังจากที่ท่านดาเตะ มาซามุเนะ ผู้ครองแคว้นเซนไดรุ่นแรกได้ใช้เวลาในการสร้างถึง 5 ปี วัดแห่งนี้ถือได้ว่าเป็นวัดประจำตระกูลดาเตะ ตัววิหารได้รับการกำหนดให้เป็นสมบัติของชาติ ภายในห้องแต่ละห้องมีบานประตูกั้นห้องที่มีลวดลายที่ถูกวาดออกมาได้อย่างปราณีตงดงามเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์เอกสารทางประศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับตระกูลดะเตะและในวันอาทิตย์และวันหยุดนักขัดฤกต์จะมีอาสาสมัครที่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้เป็นไกด์คอยแนะนำสถานที่ต่างๆ ภายในวัดให้ด้วย

ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นสถานที่สถิตของเทพเจ้านักรบที่มีชีวิตยืนยาวรอดชีวิตจากการทำสงครามมาได้ทุกครั้ง ซึ่งคนจะนับถือกันในฐานะเป็นเทพเจ้าที่คุ้มครองในการเดินเรือและคุ้มครองให้ผู้ที่มากราบไหว้ขอพรคลอดลูกได้อย่างปลอดภัย วิหารและสถานที่กราบไหว้ของที่นี่ได้รับการยกย่องให้เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่สำคัญของญี่ปุ่น ศาลเจ้าแห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงเล็กน้อย สามารถมองลงไปเห็นอ่าวมัตสึชิมะได้ หากเดินจากตัวเมืองที่อยู่รอบบริเวณศาลเจ้ามาถึงหน้าศาลเจ้าจะมีต้องเดินขึ้นบันไดทั้งหมด 202 ขั้น ตอนต้นเดือนพฤษภาคมจะมีดอกซากุระพันธุ์ชิโอกามะช่อใหญ่ที่ช่อหนึ่งจะมีดอกซากุระประมาณ 40-50 ดอกเบ่งบานสร้างสีสันให้กับบรรยากาศภายในศาลเจ้าเป็นอย่างมาก

ตลาดค้าส่งอาหารทะเลแห่งนี้มีร้านค้าขายปลาสดๆ ร้านขายอาหารแปรรูป อาหารแปลกๆ รวมกันประมาณ 115 ร้านบนพื้นที่ที่กว้างขวาง และที่มีชื่อเสียงมากที่สุดเห็นจะเป็นปลามากุโระที่จับได้มากในบริเวณนี้ ภายในตลาดมีร้านอาหาร แต่ท่านจะเลือกซื้ออาหารทะเลสดๆ มาทานกับข้าวเปล่าเองเป็น "ข้าวหน้าทะเลในสไตล์ของตัวเอง" ก็ได้ นอกจากนี้ยังมี "เตาเผาที่ใครๆ ก็ใช้ได้" ที่ให้นำอาหารทะเลสดๆ ที่ซื้อในตลาดไปปิ้งย่างกันได้ด้วย

ในห้องจัดแสดงปกติแบ่งเป็น 9 โซนสำหรับจัดแสดงประวัติศาสตร์ของภูมิภาคโทโฮคุในยุคสมัยต่างๆ ตั้งแต่ยุคหินเก่าไปจนถึงยุคใหม่ นอกจากนี้ยังมีห้องจัดแสดงพิเศษที่จะสับเปลี่ยนหมุนเวียนแสดงวัฒนธรรม ประเพณีและประวัติศาสตร์ของภูมิภาคโทโฮคุ อาคารพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ล้อมรอบด้วยป่าไม้อันเขียวขจีและสระน้ำอันกว้างใหญ่ เหมาะสำหรับการเดินเล่นพักผ่อนหย่อนใจสำหรับผู้สนใจอีกด้วย

ตลาดเช้าแห่งนี้มีร้านค้าจำนวน 50 ร้านเรียงรายกันจำหน่ายอาหารทะเลสดๆ ผักสดๆ ร้านอาหารที่สามารถเข้าไปนั่งทานได้ หรือจะซื้ออาหารทะเลสดๆ มาปิ้งย่างในจุดที่กำหนดไว้เองก็ได้ โดยทั่วไปผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้นที่สามารถเข้าไปชมและร่วมการประมูลปลาสดๆ ได้ สำหรับตลาดเช้าจะมีเฉพาะวันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์เท่านั้น ภายในตลาดยังมี "อาคารเมเปิ้ล" ที่ท่านสามารถเลือกซื้อของฝากและทานอาหารได้ที่นี่ ซึ่งจะเปิดให้บริการทุกวันยกเว้นวันพฤหัสบดี

ศาลเจ้าแห่งนี้สร้างขึ้นในปี 842 ในยุคแรกสมัยที่มีการก่อสร้างวัดใหม่ๆ ผู้คนนิยมเดินทางมากราบไว้เทพเจ้าแห่งการบุกเบิกภูมิภาคโทโฮคุและพัฒนาอุตสาหกรรมในภูมิภาค ในปัจจุบันเชื่อกันว่ามีเทพเจ้าแห่งปัจจัย 4 สถิตอยู่ด้วย ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นที่เคารพนับถือของบุคคลสำคัญในตระกูลดาเตะ ตระกูลเจ้าผู้ครองแคว้นเซนไดและตระกูลโอชูฟุจิวาระแห่งเมืองฮิระอิซุมิมาตั้งแต่อดีตเป็นอย่างมาก ภายในศาลเจ้านอกจากจะมีวิหารหลักและประตูคารามงที่สวยงามแล้วยังมี "พิพิธภัณฑ์ม้า" ที่มีอุปกรณ์เครื่องมือที่ใช้กับม้า รูปปั้นแกะสลักมาก เอกสารทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับม้า ซึ่งถือว่าหาชมได้ยากจัดแสดงไว้อีกด้วย

หูฉลามที่เป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหารเป็นอาหารจีนหรูนั้นไม่ได้ทำมาจากหูของปลาฉลามตามชื่อของมัน แต่ความจริงแล้วทำมาจากครีบของปลาฉลามและนำมาอบแห้ง เมืองเคะเซนนุมะถือว่าเป็นเมืองที่ผลิตหูฉลามได้มากเป็นอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น ท่านสามารถหาทานหูฉลามในเมนูต่างๆ ได้ไม่ว่าจะเป็นหูฉลามตุ๋น หูฉลามราดข้าว ซูชิหูฉลาม นอกจากนี้ยังสามารถลองลิ้มรสเนื้อปลาฉลามชุบแป้งทอด นักเก็ตเนื้อปลาฉลาม ซาชิมิหัวใจปลาฉลามได้ตามร้านอาหารในเมืองเคะเซนนุมะได้อีกด้วย

คนที่นี่จะนำเครื่องในหมูสดๆ ไปหมักกับมิโสะที่ใส่กระเทียมเข้าไปด้วยแล้วนำไปย่าง เวลาทานก็จะทานกับกะหล่ำปลีซอยและน้ำมันหอย การทานเครื่องในนี้เริ่มมาตั้งแต่ประมาณปี 1950-1960 โดยจุดเริ่มต้นมาจากชาวประมงที่ออกไปหาปลาไกลๆ แล้วกลับมายังบ้านเกิด พอขึ้นฝั่งแล้วก็จะชอบทานเมนูนี้กัน จนคนอื่นเห็นและนำไปทำตามจนเป็นที่แพร่หลายในปัจจุบัน เมนูนี้มีพร้อมเสิร์ฟตามร้านปิ้งย่างทั่วไป โดยจะทานแบบนำเครื่องในสดๆ มาย่างเอง

ข้าวดงบุริขึ้นชื่อที่โปะหน้าด้วยซาชิมิแบบพูนๆ ลิ้มรสของอาหารทะเลตามฤดูกาลจากชายฝั่งซันริคุได้อย่างเต็มที่ โดยในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน มีเมนู ฮารุสุเกะด้งหรือข้าวดงบุริฤดูใบไม้ร่วงที่จะมีซาชิมิและผักในฤดูใบไม้ผลิโปะหน้าข้าวอยู่ สำหรับเดือนพฤษภาคม-สิงหาคมจะเสิร์ฟเมนู อุนิด้งหรือข้าวดงบุริหน้าหอยเม่น ในเดือนกันยายน-สิงหาคมจะเสิร์ฟด้วย อะคิอุมะด้งหรือข้าวดงบุริฤดูใบไม้ร่วงที่จะมีอาหารทะเลในฤดูใบไม้ร่วงโปะอยู่บนหน้าข้าว และในเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์จะมีข้าวดงบุริหน้าไข่ปลาแซลมอน หมุนเวียนมาเสิร์ฟความอร่อยกันในแต่ละฤดูกาล ท่านสามารถเพลิดเพลินเลือกทานคิระคิระด้งที่ร้านอาหารในเมืองได้ทั้งหมด 11 ร้าน

ราเมงประจำถิ่นที่ได้ไอเดียมาจาก "น้ำซุปปลาซาบะ" ซึ่งชาวบ้านในเขตอิโนะกาวะ เมืองอิชิโนะมากินิยมนำมาประกอบอาหาร โดยได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยในเมืองและผู้ประกอบการในท้องถิ่นรังสรรค์เมนูราเมงชนิดนี้ขึ้นมา ซึ่งเส้นของโซบะพิเศษแบบออริจินัลที่รังสรรค์มาให้เข้ากับน้ำซุปจากปลาโซบะที่ใช้ความพิถีพิถันในการเคี่ยวนี้เป็นอีก 1 ชามที่ควรค่าแก่การลิ้มลองจริงๆ 6 ร้านอาหารในเขตอิโนะกาวาพร้อมที่จะเสิร์ฟเมนูราเมงซุปปลาซาบะนี้ให้กับท่านแล้ว

ซูชิและข้าวดงบุริของที่นี่ใช้อาหารทะเลสดๆ ตามฤดูกาลจากเมืองอิชิโนะมากิและข้าวที่เก็บเกี่ยวได้ในจังหวัดมิยากิ ในฤดูใบไม้ผลิจะเสิร์ฟหอยปีกนกและปลาคัมปาจิ ในฤดูร้อนจะเสิร์ฟด้วยปลามากุโระและ "ปลาคิงกะคัตสึโอะ" ในฤดูใบไม้ผลิจะเสิร์ฟด้วย "ปลาคิงกะซาบะ" ในฤดูหนาวจะเสิร์ฟด้วยปลาบุริและหอยแครงญี่ปุ่น ท่านสามารถหาทานคิงกะซูชิ คิงกะด้งได้ที่ร้านอาหาร 16 แห่งในเมืองอิชิโนะมากิ

อาหารพื้นเมืองที่มีต้นกำเนิดมาจากเมืองวาทาริในจังหวัดมิยากิซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 400 ปี โดยใช้โชยุ เหล้าและน้ำตาลตุ๋นปลาแซลมอนจนนิ่มจากนั้นนำน้ำซุปที่ได้จากการตุ๋นปลาแซลมอนนี้ราดผ่านฮาราโกะ (ไข่ปลาแซลมอน) เวลาทานก็จะนำน้ำซุปที่ได้จากการตุ๋นปลาแซลมอนราดบางๆ ที่ข้าวแล้วนำปลาแซลมอนและไข่ปลาแซลมอนมาวาง ท่านสามารถหาทานเมนูฮาราโกะเมชินี้ได้ในฤดูใบไม้ร่วงที่ร้านอาหาร 20 ร้านในเมืองวาทาริ

สถานที่ทำกิจกรรมต่างๆ ที่หาทำที่ไหนไม่ได้อีกแล้วนอกจากที่เคะเซนนุมะ ไม่ว่าจะเป็นแอบเข้าไปส่องเยี่ยมชมโรงงานแปรรูปอาหารทะเล โรงน้ำแข็ง ตลาดปลา นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอื่นๆ ที่สนใจท่ามกลางธรรมชาติ เช่น กิจกรรมในบ้านต้นไม้ พายเรือคายัคในทะเล สำหรับกำหนดการจัดกิจกรรมต่างๆ หาดูรายละเอียดได้ทางเว็บไซต์ และผู้สนใจสามารถสมัครทางเว็บไซต์หรือทางโทรศัพท์ก็ได้

สถานที่ทำกิจกรรมอเนกประสงค์ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาโดยนำโรงเรียนร้างมาปรับปรุงให้สวยงาม ที่นี่เป็นสถานที่เรียนรู้และทำกิจกรรมร่วมกันเกี่ยวกับป่าไม้และทะเลในเขตโอคะสึโจ เมืองอิชิโนะมากิ นอกจากโปรแกรมสำหรับเด็กแล้วยังมีโปรแกรมเวิร์คช็อปและทัวร์สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองและผู้สนใจทั่วไปด้วย ซึ่งมีทั้งโปรแกรมพักอาศัยในระยะสั้นและระยะยาว สำหรับที่พักอาศัยจะเป็นอาคารโรงเรียนเก่าที่นำมาปรับปรุงใหม่และมีบ่อน้ำร้อนกลางแจ้งที่มีหลังคาทำจากหินกระดานชนวนซึ่งเป็นหินจากเขตโอคะสึโจคลุมอยู่พร้อมให้ผู้เข้าพักได้พักผ่อนแช่น้ำแร่ทำร่างกายให้อบอุ่นกันด้วย

อาคารแห่งนี้เป็นอาคารของสถานี JR โอนากาวะแต่เดิมที่นำมาปรับปรุงใหม่หลังจากที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์สึนามิที่ผ่านมา ภายในอาคารมีร้านจำหน่ายของฝากและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากทะเลทั้งจากในเมืองโอนากาวะเองและเมืองใกล้เคียง นอกจากนี้ยังมีโซนสัมผัสประสบการณ์ด้านการประมงของเมืองโอนากาวะ (กรุณาจองก่อนล่วงหน้า 1 สัปดาห์) มีเวิร์คช็อปการสอนแล่และวิธีการประกอบอาหารด้วยหอยเป๋าฮื้อที่เลี้ยงไว้ เวิร์คช็อปทดลองตกแต่งหน้าข้าวดงบุริด้วยซาชิมิแบบต่างๆ และที่สำคัญสามารถลิ้มลองอาหารที่ตนเองทดลองทำเหล่านี้ได้ด้วย

ผู้สนใจสามารถนั่งเรือชมความงดงามของทิวทัศน์ของหน้าผาซากะเคที่ใกล้ๆ มีเกาะเล็กเกาะน้อยและโขดหินที่เกิดจากการกัดเซาะของคลื่นในมหาสมุทรแปซิฟิกและลมฝนที่กัดกร่อนหินจนมีรูปทรงต่างๆ เรียงรายอยู่มากมาย ในวันที่อากาศดีจะแล่นเรือออกไปยังท้องทะเลด้านนอกเพื่อชมความงดงามของโขดหินรูปร่างแปลกๆ อย่างใกล้ชิด แต่ในวันที่มีฝนหรือหิมะตกจะล่องเรือชมความงดงามของธรรมชาติต่างๆ ที่อยู่ในทะเลด้านในซึ่งมีคลื่นลมที่สงบกว่า โดยใช้เวลาในการล่องเรือทั้งหมด 60 นาที

อ่าวมัตสึชิมะมีเกาะน้อยใหญ่กว่า 260 เกาะตั้งเรียงรายกันอยู่ภายในอ่าว ซึ่งถ้าใครอยากจะดูความสวยงามของเกาะเหล่านั้นใกล้ๆ จะต้องนึกถึงการล่องเรือชมอ่าวมัตสึชิมะ ท่าเรือตั้งอยู่ใกล้ๆ กับสถานี JR มัตสึชิมะไคกัน ใช้เวลาในการล่องเรือประมาณ 50 นาทีเพื่อพาชมเกาะต่างๆ ที่มีรูปร่างแปลกตาไม่ว่าจะเป็นเกาะฝาแฝดหรือที่เรียกว่าฟุทาโกะจิมะ เกาะเซนกันจิมะ ซึ่งเป็นเกาะขนาดเล็กๆ กำลังดีที่ท่านดาเตะ มาซามุเนะ เจ้าครองแคว้นรุ่นแรกทรงโปรดปรานในรูปร่างของเกาะมาก และที่พลาดชมไม่ได้เลยคือ "เกาะนิโอะจิมะ" ที่มีรูปร่างเหมือนคนใส่หมวกเบเร่ต์กำลังสูบบุหรี่อยู่

ที่พลาดไม่ได้ของเทศกาลนี้คือการแห่เรือที่มีเกี้ยวศาลเจ้าจำลองของ 2 ศาลเจ้าได้แก่ ศาลเจ้าชิวะฮิโกะจินจะและศาลเจ้าชิโอกามะจินบูชาอยู่หรือที่เรียกว่า "มิโคชิไคโจโทะเคียว" โดยจะแห่มาพร้อมขบวนเรือประกอบประมาณ 100 ลำที่ปักธงนำโชคในการหาปลาวนรอบอ่าวมัตสึชิมะ ก่อนหน้าวันงานหนึ่งวันจะมีการจุดดอกไม้ไฟจำนวน 8,000 ดอกจากกลางทะเลช่วยสร้างบรรยากาศของเทศกาลให้น่าตื่นตาตื่นใจอีกด้วย

เพลิดเพลินกับการเก็บสตรอว์เบอร์รี่ด้วยตนเองและทานได้ไม่อั้นเป็นเวลา 30 นาที ในเมืองวาทาริมีสวนสตรอว์เบอร์รี่ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปเก็บสตรอว์เบอร์รี่ได้ถึง 3 สวนด้วยกัน ซึ่งทั้งสามสวนนี้ปลูกสตรอว์เบอร์รี่อยู่ในระดับสูง ทำให้เวลาเก็บไม่จำเป็นต้องนั่งยองๆ หรือก้มตัวลงเก็บสามารถยืนเก็บได้อย่างสบายๆ เลย

บ้านเมืองในเขตมินามิซันริคุได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์สึนามิเป็นอย่างมาก ไกด์ผู้เชี่ยวชาญของเราจะพาทุกท่านไปชมร่องรอยความเสียหายที่เกิดจากคลื่นสึนามิเพื่อให้ทุกท่านได้เล็งเห็นถึงความสำคัญและตระหนักถึงการเตรียมการป้องกันภัยจากแผ่นดินไหวอยู่เสมอ ทัวร์รถบัสนี้ใช้เวลาประมาณ 60 นาทีในการพาสำรวจพื้นที่ประสบภัยจากสึนามิโดยไกด์ผู้เชี่ยวชาญ พร้อมกับเล่าประสบการณ์ที่ตนเองได้ประสบมาและถ่ายทอดบทเรียนที่ได้รับจากเหตุการณ์ครั้งนั้นให้ลูกทัวร์ฟัง นอกจากนี้ยังมีไกด์ที่สามารถพูดภาษาอังกฤษและภาษาจีน (ไต้หวัน) ได้ด้วย กรุณาจองก่อนล่วงหน้า

ไกด์ท้องถิ่นอาสาสมัครจะเป็นผู้พาชมพื้นที่ประสบภัยพร้อมกับเล่าถึงบรรยากาศในตอนนั้นและบทเรียนที่ได้รับจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น มีคอร์สพาชมในเลือกสองรูปแบบได้แก่ คอร์สนั่งรถชมพื้นที่ประสบภัยจากหน้าต่างรถบัสและคอร์สเดินชมโดยเริ่มต้นจากสถานี JR อิชิโนะมากิ กรุณาจองก่อนล่วงหน้า (ก่อนประมาณ 1 เดือน)

เขตนะโตะริเป็นเขตที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในภูมิภาคโทโฮคุที่ผ่านมา ซึ่งตอนนี้เปิดให้เข้าชมพื้นที่ประสบภัย ร่องรอยความเสียหายต่างๆ ตลอดจนสถานการณ์การฟื้นฟูเมืองในขณะนี้ ท่านสามารถจองไกด์อาสาสมัครเพื่อพาชมสถานที่ต่างๆ และรับฟังคำบรรยายได้ที่ "กลุ่มงานถ่ายทอดเรื่องราวภัยจากแผ่นดินไหวในเขตยูริอะเกะ" (อาจมีการเปลี่ยนแปลงโปรแกรมเนื่องจากการก่อสร้างเพื่อการฟื้นฟูเมือง)

หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ๋ได้สร้างเมืองขึ้นมาใหม่ที่เนินเขาแห่งนี้ และเมื่อปี 2016 ได้ตั้งศูนย์ข้อมูลการท่องเที่ยวและศูนย์จำหน่ายของประจำถิ่นไว้ในอาคารไม้สีอบอุ่นแห่งนี้ ที่นี่มีจำหน่ายของประจำถิ่นมากมายไม่ว่าจะเป็นอาหารทะเล เหล้าสาเกท้องถิ่น ผักดอง ขนมท้องถิ่น และมีหอยนางรมซึ่งเป็นอาหารทะเลขึ้นชื่อประจำเมืองมัตสึชิมะจำหน่ายด้วยเมื่อถึงฤดูกาล

ศูนย์ข้อมูลการท่องเที่ยวที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองมัตสึชิมะ ให้บริการข้อมูลการท่องเที่ยวในเมืองมัตสึชิมะ เมืองท่องเที่ยวที่ได้รับการยกย่องว่าติดอันดับ 1 ใน 3 ของสถานที่ที่มีทิวทัศน์สวยงามที่สุดในญี่ปุ่น ผู้สนใจสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ซึ่งมีข้อมูลทั้งเป็นภาษาอังกฤษ จีนและเกาหลี นอกจากนี้ยังมีข้อมูลการทำเวิร์คช็อปตุ๊กตาโคะเคะชิ การล่องเรือรอบอ่าวมัตสึชิมะและกิจกรรมอื่นๆ อีกด้วย

เคาน์เตอร์แนะนำการท่องเที่ยวที่ตั้งอยู่ในสนามบินนานาชาติเซนไดชั้น 1 ท่านสามารถหาข้อมูลการท่องเที่ยวและวิธีการเดินทางทั่วประเทศญี่ปุ่น รวมถึงในภูมิภาคโทโฮคุ รับจองโรงแรมที่พัก จำหน่ายตั๋วประเภทต่างๆ เช่น ตั๋วรถไฟสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ นอกจากนี้ยังมีบริการแผ่นพับแนะนำข้อมูลการท่องเที่ยวและอินเตอร์สำหรับสำหรับหาข้อมูลอีกด้วย

ร้านจำหน่ายสินค้าประจำถิ่นที่เน้นอาหารทะเล สำหรับร้านอาหารภายในอาคารมีเมนูอาหารทะเลไม่ว่าจะเป็นซูชิ ข้าวหน้าทะเลต่างๆ ให้เลือกอิ่มอร่อยกัน สำหรับร้านขายสินค้าจะมีอาหารทะเลสดๆ ปลาสดๆ ที่จับได้ในท้องถิ่น ผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแปรรูปต่างๆ จำหน่าย นอกจากนี้ยังมีร้านขายสินค้าคาแรกเตอร์ของทูตแห่งการท่องเที่ยวในเมืองเคะเซนนุมะที่ชื่อว่า "โฮะยะโบยะ" "พิพิธภัณฑ์น้ำแข็ง" "พิพิธภัณฑ์ปลาฉลาม เมืองเคะเซนมุมะ" ให้เพิ่มความสนุกสนานกันอีกด้วย

ร้านจำหน่ายสินค้าประจำถิ่นที่ใหญ่ที่สุดในเมืองมัตสึชิมะ ที่นี่ท่านสามารถหาซื้อของประจำถิ่นของภูมิภาคโทโฮคุ งานหัตถกรรมพื้นบ้าน สินค้าคาแรกเตอร์ของท่านดาเตะ มาซามุเนะ ซามูไรในยุคเซนโกกุ เจ้าผู้ครองแคว้นเซนไดรุ่นแรก นอกจากนี้ภายในอาคารชั้น 2 มีร้านอาหารที่มีเมนูต่างๆ มากมาย เช่น ข้าวหน้าซาชิมิ ราเมง เรียกได้ว่ามาที่นี่ที่เดียวก็สามารถหาซื้อของฝากและอิ่มอร่อยกับอาหารนานาชนิดได้

ออนเซ็นน้ำบริสุทธ์ใสมาจากแหล่งน้ำใต้ดิน 2,000 เมตร นอกจากจะมีบ่อออนเซ็นริมมหาสมุทรแปซิฟิกแล้ว ยังมีบ่อออนเซ็นที่ยื่นออกไปในมหาสมุทรแปซิฟิกด้วย เพลิดเพลินกับการมองทะเลสีครามอันงดงามไป แช่น้ำผ่อนคลายความเหนื่อยล้าไป เวลาแช่ออนเซ็นที่อยากจะแนะนำก็คือช่วงเช้าตรู่ ซึ่งท่านจะได้เต็มอิ่มกับทิวทัศน์ของพระอาทิตย์ที่ขึ้นจากเส้นขอบฟ้าอันน่าประทับใจ

มัตสึชิมะออนเซ็นมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "ออนเซ็นสร้างคนสวย" ว่ากันว่าออนเซ็นของมัตสึชิมะนี้จะทำให้ผิวพรรณเนียนนุ่มลื่น ในเมืองมัตสึชิมะมีที่พักแบบเรียวกังที่มีบ่อออนเซ็นอยู่ด้วยจำนวน 7 แห่ง มีทั้งห้องที่สามารถมองเห็นอ่าวมัตสึชิมะได้ ร้านอาหารในเรียวกังที่สามารถทานอาหารทะเลสดๆ อร่อยๆ ได้ เมื่อมาที่มัตสึชิมะแล้วก็พลาดไม่ได้ที่จะเพลิดเพลินกับการแช่ออนเซ็นในบ่อกลางแจ้งไป นั่งมองพระจันทร์บนฟากฟ้าของเกาะมัตสึชิมะไปท่ามกลางบรรกาศที่เป็นธรรมชาติมากๆ

ในเมืองอิชิโนะมากิมีโรงงานแปรรูปอาหารทะเลสดและร้านอาหารท้องถิ่นรวมตัวอยู่เป็นจำนวนมาก ตลาดอิชิโนะมากิ เก็นกิแห่งนี้เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อเดือนมิถุนายน 2017 ที่ชั้น 1 มีจำหน่ายปลาสดๆ อาหารทะเลแปรรูป ผลิตผลทางการเกษตร ของฝากประจำถิ่นจากทั้งในเขตมินามิซันริคุและเขตพื้นที่ประสบภัยที่กำลังได้รับการฟื้นฟูอยู่ ที่ชั้น 2 มีโรงอาหารที่มีที่นั่งประมาณ 40 ที่ ซึ่งท่านจะได้ลองลิ้มชิมรสอาหารท้องถิ่นตามฤดูกาลของเมืองอิชิโนะมากิได้ตลอดปี

ศูนย์รวบรวมข้อมูลทุกอย่างของเมืองมินามิซันริคุ รวมถึงข้อมูลการท่องเที่ยว ภายในศูนย์มีการแจกเอกสารต่างๆ เช่น เอกสารแนะนำการท่องเที่ยวในเมือง ในบางวันมีกิจกรรมให้ผู้สนใจได้ร่วมสนุกกัน หรือมีทัวร์ชมสถานที่ต่างๆ ที่คนทั่วไปก็สามารถเข้าร่วมได้ นอกจากนี้ยังมี wi-Fi ห้องน้ำอเนกประสงค์ให้บริการด้วย

ศูนย์นักท่องเที่ยวแห่งนี้มีการจัดแสดงภาพถ่าย วีดีทัศน์ แบบจำลองที่แสดงถึงวัฒนธรรมและอุตสาหกรรมของคนในท้องถิ่น อุทยานแห่งชาติมินามิซันริคุฟุคโค รวมถึงธรรมชาติอันงดงามในภูมิภาค สำหรับ "อาคารสัมผัสประสบการณ์จากสึนามิ" ซึ่งเป็นอาคารแห่งแรกในญี่ปุ่น ท่านจะสามารถสัมผัสประสบการณ์จากสึนามิได้ด้วยระบบภาพ เสียง การสั่นสะเทือน ลมที่พัดมาได้อย่างเหมือนจริง

ย่านการค้าชั่วคราวที่รวบรวมร้านค้าในท้องถิ่นที่ได้รับความเสียหายจากเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ผ่านมาไว้ด้วยกันกว่า 28 ร้านค้า ไม่ว่าจะเป็นร้านซูชิ ร้านข้าวหน้าทะเล ร้านขายปลาสดๆ ร้านขายผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแปรรูป ในทุกวันเสาร์มี "ตลาดราคาถูก" ทุกวันจันทร์ที่ 2 และวันอาทิตย์ที่ 4 ของเดือน จะมีการจัดกิจกรรมมอบความสนุกให้กับผู้ที่มาจับจ่ายซื้อของอีกด้วย

เกาะโอชิมะเป็นเกาะที่ต้องนั่งเรือจากท่าเรือเคะเซนนุมะโดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที จากเขาคาเมะยามะที่สูงจากระดับน้ำทะเล 235 เมตรสามารถมองเห็นเกาะโอชิมะที่ปกคลุมไปด้วยป่าสีเขียวขจีได้ เกาะแห่งนี้จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "ไข่มุกสีเขียว" ภายในเกาะมีชายหาดคุกุนาริฮามะ ชายหาดโอดะโนฮามะอันงดงาม นอกจากนี้ยังมีจุดชมวิวมากมาย เช่น ทะสึไมซากิที่อยู่ตรงปลายคาบสมุทร และยังมีกิจกรรมทางน้ำกลางแจ้งให้เลือกเล่นกันอย่างสนุกสนานอีกด้วย

อุทยานที่ระลึกการฟื้นฟูของมินามิซันริคุ และศูนย์ข้อมูลสภาพธรรมชาติของมินามิซันริคุและพื้นที่ใกล้เคียง ที่นี่มีกิจกรรมให้เพลิดเพลินมากมายไม่ว่าจะเป็นกีฬาโต้คลื่น พายเรือคายัค ดำน้ำ ปั่นจักรยาน ฯลฯ ด้วยสภาพพื้นที่ซึ่งเป็นทุ่งโล่งติดกับแม่น้ำ ภูเขา และทะเล ใกล้ๆที่นั่นยังมีศูนย์ข้อมูลการท่องเที่ยวประจำหมู่บ้านคิตาคามิ เมืองอิชิโนะมากิอีกด้วย

เส้นทาง"มิจิโนะคุชิโอคาเสะเทรล" เป็นทางเดินป่ายาวเลียบมหาสมุทรแปซิฟิกกว่า 900km เริ่มตั้งแต่เมืองฮาชิโนะเฮะ จ.อาโอโมริลงมาจนถึงเมืองโซมะ จ.ฟุกุชิมะ และ"นาโทริเทรลเซ็นเตอร์ " เป็นศูนย์ให้ข้อมูลการเดินทางซึ่งจะเปิดที่ยูริอาเกะ เมืองนาโทริจนถึงเดือนเมษายน 2019 นี้ ศูนย์แห่งนั้นยังถูกใช้เป็นจุดพูดคุยพบปะระหว่างนักเดินป่าจากทั่วโลกและผู้คนในพื้นที่อีกด้วย

ศูนย์กิจกรรมนานาประเภทซึ่งถูกดัดแปลงจากอาคารโรงเรียนประถมโนบิรุเก่าซึ่งได้รับความเสียหายจากภัยสึนามิครั้งใหญ่ จัดตั้งขึ้นเพื่อให้ความรู้และความเพลิดเพลินทางด้านการป้องกันภัยธรรมชาติ อาทิเช่นแคมป์อบรมซึ่งได้รับความร่วมมือจากเกษตรกรและชาวประมงในพื้นที่ ภัตราคาร "โมริโนะ คิชเช่น" เสิร์ฟอาหารซึ่งปรุงจากวัตถุดิบท้องถิ่นของฮิกาชิมัตสึชิมะ และบ่อน้ำร้อนสาธารณะ

เส้นทางเลียบชายฝั่งทะเลของเมืองอิวานุมะ ที่มีความยาวกว่า 10km และผ่านเนินต่างๆถึง 14 แห่ง เนินเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นโดยการถมขยะภัยพิบัติสึนามิจำนวนมาก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นที่หลบภัยสึนามิในอนาคต และยังสร้างสวนเพื่อลดความรุนแรงของคลื่นน้ำอีกด้วย เนินนี้จึงเป็นอนุสรณ์สถานเหตุการณ์สึนามิ และศูนย์ให้ความรู้ในการป้องกันภัยพิบัติอีกแห่งหนึ่ง

เคะเซ็นนุมะโอชิมะเป็นเกาะที่อยู่ห่างไกลจากผู้คนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคโทโฮคุ ได้รับสมญานามว่า "ไข่มุกสีเขียว" สะพานแห่งนี้เต็มไปด้วยความหวังเพื่อที่จะเชื่อมระหว่างเคะเซ็นนุมะโอชิมะและแผ่นดินใหญ่เข้าไว้ด้วยกัน เปิดให้รถวิ่งผ่านตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน 2019 บนสะพานมีทางสำหรับเดิน 1 เลน สามารถเดินเล่นหรือขี่จักรยานข้ามสะพานได้ สถานที่แห่งนี้เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นจุดชมทิวทัศน์ที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองเคะเซ็นนุมะ ซึ่งท่านจะได้ชมความงดงามของทิวทัศน์ดังกล่าวได้จากสะพานแห่งนี้

สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ในอาคารสถานีรถไฟ JR ฮอนชิโอกามะ โดยเป็นที่ตั้งของร้านขายปลาดสด ๆ ผักผลไม้นานาชนิด และร้านอาหาร ซึ่งร้านค้าจะมีอาหารทะเลสด ๆ อาหารทะเลแปรรูป กับข้าวชนิดต่าง ๆ ซาชิมิ ซูชิ และผักสด ๆ จากท้องถิ่นวางจำหน่ายอยู่ด้วย นอกจากนี้ ท่านจะได้ลิ้มลองชุดอาหารกลางวันที่เป็นเมนูอาหารทะเลตามฤดูกาลได้ที่ร้านอาหาร สำหรับในตอนกลางคืน พลาดไม่ได้กับอาหารจานเดียว เช่น ซาชิมิและเหล้าประจำถิ่น

เปิดให้บริการเมื่อเดือนเมษายน 2019 ในเขตยูริอาเกะ เมืองนาโทริ ที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามินอกชายฝั่งแปซิฟิกโทโฮคุ ค.ศ. 2011 สถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งรวมร้านค้าของคนในท้องถิ่นจำนวน 24 ร้านค้าไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านขนมหวาน หรือร้านขายอาหารทะเล ซึ่งตั้งอยู่ตามแนวทำนบกั้นน้ำบริเวณปากแม่น้ำนาโทริกาวะ นอกจากนี้ยังมีทางเดินเลียบแม่น้ำสำหรับเป็นที่เดินพักผ่อนหย่อนใจยอดฮิตแห่งใหม่อีกด้วย

บ่อออนเซ็นที่ตั้งอยู่ริมทะเลในเมืองวาทาริ ซึ่ง "โรงแรมซาคัง" เรียวกังเก่าแก่ของแหล่งออนเซ็นอะคิอุ เมืองเซนไดเป็นผู้สร้างโครงการนี้ขึ้น บ่อออนเซ็นกลางแจ้งที่สามารถมองเห็นมหาสมุทรแปซิฟิกได้นั้นได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก มีการกำหนดวันคู่และวันคี่ แยกไว้เพื่อให้ผู้หญิงและผู้ชายได้ใช้บริการคนละวัน นอกจากนี้ พลาดไม่ได้กับการลิ้มลองเมนูข้าวหน้าปลาแซลมอนโรยด้วยไข่ปลาแซลมอน หรือที่เรียกว่าฮาราโกะ-เมชิ อาหารประจำท้องถิ่น จะใช้บริการแบบไม่ค้างคืน หรือแบบค้างคืนก็ได้

สุสานของท่านดาเตะ มาซามุเนะ ซึ่งเป็นผู้ครองแคว้นเซนไดรุ่นแรก วิหารหลักและที่สำหรับกราบไหว้หน้าวิหารของสุสานแห่งนี้เป็นสถาปัตยกรรมยุคโมโมยามะ ภายในบริเวณใกล้เคียงกันมีสุสานของท่านดาเตะ ทาดะมุเนะ ไดเมียวองค์ที่ 2 และสุสานของท่านดาเตะ สึนะมุเนะ ไดเมียงองค์ที่ 3 ที่ปกครองเมืองเซนได และอาคารรวบรวมเอกสารทางประวัติศาสตร์อีกด้วย ในวันเสาร์และอาทิตย์จะมีไกด์ผู้เชี่ยวชาญที่จะสวมใส่เสื้อคลุมนักรบสีม่วงมาคอยให้คำบรรยายโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายอีกด้วย หากจะเดินทางมาที่นี่สามารถใช้บริการรถนำเที่ยวรอบเมืองเซนได้ "รูบุรุ เซนได" ได้

มีตู้จัดแสดงสัตว์น้ำกว่า 100 ตู้บนพื้นที่กว่า 9,900 ตารางเมตร โดยจัดแสดงทั้งสัตว์น้ำที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวทั้งที่อาศัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่นและสัตว์น้ำจากทั่วโลก มีตู้ปลาขนาดยักษ์ที่จำลองชีวิตความเป็นอยู่ของสัตว์น้ำที่อาศัยอยู่ในทะเลบริเวณชายฝั่งซันริคุ นอกจากนี้ยังมีโซนที่จะให้สัมผัสกับเพนกวินและสิงโตทะเลได้อย่างใกล้ชิด รวมถึงการแสดงโชว์ปลาโลมาแสนรู้อีกด้วย ทัวร์ชมเบื้องหลังการทำงานของพี่เลี้ยงที่เลี้ยงดูสัตว์น้ำน้อยใหญ่เหล่านี้ก็ได้รับความนิยมมากเช่นกัน

ปราสาทเซนไดเคยเป็นที่อยู่อาศัยของท่านดาเตะ มาซามุเนะ ซามูไรในยุคเซงโกะกุ เจ้าผู้ครองแคว้นเซนไดรุ่นแรกเมื่อ 400 ปีที่แล้ว สิ่งก่อสร้างอื่นๆ ภายในบริเวณ ที่เราได้เห็นในปัจจุบัน เช่น กำแพงหิน อาคารวากิยะกุรุนั้นเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาใหม่ภายหลัง นอกจากนี้ยังมีอนุสาวรีย์ท่านดาเตะ มะซะนุเนะบนหลังม้าตั้งตระหง่านอยู่ ซึ่งจากบริเวณอนุสาวรีย์สามารถมองเห็นทิวทิศน์สภาพบ้านเมืองของใจกลางเมืองเซนไดได้ หากจะเดินทางมาที่นี่สามารถใช้บริการรถนำเที่ยวรอบเมืองเซนได้ "รูบุรุ เซนได" ได้

ออนเซ็นสมัยโบราณที่ตั้งอยู่บริเวณชานเมืองของเมืองเซนได Akiu Onsen ที่มีแหล่งต้นน้ำมาจากริมแม่น้ำนะโตะรินี้มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 1500 ปี ซึ่งในบริเวณนี้มีเรียวกังขนาดใหญ่ตั้งอยู่มากกว่า 20 แห่ง สำหรับ Sakunami Onsen ถูกค้นพบเมื่อ 1,300-800 ปีก่อนหน้านี้ มีแหล่งต้นน้ำมากจากริมแม่น้ำฮิโระเสะ ซึ่งในบริเวณนี้ก็มีเรียวกังและโรงแรมขนาดใหญ่ตั้งอยู่ประมาณ 5 แห่ง ถือได้ว่าบริเวณนี้เป็นแหล่งออนเซ็นที่มีความสัมพันธ์กับท่านไดเมียวผู้ปกครองเมืองเซนไดมานานนับสมัยและมีความผูกพันกับชาวเมืองมายาวนาน

ขนมประจำถิ่นของเมืองเซนไดที่นำถั่วแระมากวนและทาไว้ทั่วก้อนแป้งโมจิ รสชาติของขนมได้มาจากเอกลักษณ์เฉพาะตัวของความหอมและความหวานจากถั่วแระญี่ปุ่น มีสารอาหารมากมาย เช่น แคลเซียม วิตามิน B1, B2, C ช่วยบำรุงผิวพรรณและช่วยให้มีสุขภาพดี จึงเป็นขนมที่น่าจับตามองอยู่ในขณะนี้ นอกจากจะหาทานได้ตามร้านขนมหวานทั่วไปในเมืองแล้วยังสามารถซื้อหากลับไปเป็นของฝากได้ตามร้านขายของฝากทั่วไปได้อีกด้วย

การนำลิ้นวัวมาหมักเกลือและพริกไทยแล้วนำไปย่างกับไฟถ่าน ต้นกำเนิดของความอร่อยนี้มาจากเจ้าของร้านคนแรกของร้านอาจิทาสึเกะซึ่งตั้งอยู่ในใจกลางเมืองเซนไดนี่เอง ตอนนี้ถ้าพูดถึงลิ้นวัวย่างก็ต้องนึกถึงเมืองเซนได ในเมืองเซนไดเองก็มีร้านขายลิ้นวัวย่างโดยเฉพาะกว่า 100 ร้าน ซึ่งก็ได้มีการดัดแปลงเมนูที่ใช้ลิ้นวัวมาทำเป็นอาหารประเภทต่างๆ ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นลิ้นวัวตุ๋น ซูชิหน้าลิ้นวัว เป็นต้น

เทศกาลนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 6-8 สิงหาคมของทุกปี เป็นเทศกาลของเมืองเซนไดที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานมากกว่า 400 ปี โดยจะประดับประดาสายรุ้งหลากสีไว้ตามถนนคนเดินในย่านแหล่งการค้าตั้งแต่หน้าสถานีรถไฟเซนไดเรื่อยมา โดยใช้กระดาษสาญี่ปุ่นและใบไผ่ในการทำเส้นสายรุ้ง และที่ลานกว้างในสวนโคโตไดจะมีการจัดแสดงบนเวที การสอนทำสายรุ้งประดับในเทศกาลทานาบาตะและกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย โดยในวันที่ 5 สิงหาคมก่อนวันจัดงานจริงจะมีการยิงดอกไม้ไฟขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วย

งานประดับไฟนี้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในเดือนธันวาคม โดยจะจัดขึ้นบนถนนโจเซนจิซึ่งเป็นถนนที่เรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเซนได แสงไฟ LED นับหลายแสนดวงที่ประดับประดาบนต้นเคยากิกว่า 160 ต้นที่เรียงรายทอดออกไปตามแนวถนนสร้างบรรยากาศอันน่าหลงใหลเหมือนอยู่ในจินตการเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอื่นๆ มากมายไม่ว่าจะเป็นพิธีการเปิดไฟประดับในวันแรก กิจกรรม "Starlight Wink" ที่จะปิดดวงไฟทั้งหมดและเปิดใหม่อีกครั้ง เป็นต้น

สถานที่แห่งนี้ท่านจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับภัยที่เกิดจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในภูมิภาคที่ผ่านมา ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายอย่างหนักจากภัยสึนามิในพื้นที่บริเวณชายฝั่งด้านตะวันออกของเมืองเซนได ภายในอาคารมีห้องสำหรับจัดแสดงภาพถ่ายและภาพวีดีทัศน์ของความเสียหายที่เกิดขึ้นรวมถึงสภาพบ้านเมืองที่ได้รับการฟื้นฟูหลังเกิดภัยพิบัติ และห้องสำหรับจัดแสดงพิเศษที่บอกเล่าเรื่องราวผ่านความทรงจำและวิถีชีวิตของคนในพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีเวิร์คช็อปเล่าประสบการณ์จากภัยพิบัติที่ผ่านมา รวมถึงมีการจัดทัวร์พาชมบริเวณโดยรอบอีกด้วย

โรงเรียนประถมศึกษาอาระฮามะแห่งนี้เป็นสถานที่ที่เด็กนักเรียน ครูอาจารย์และผู้ที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงได้ใช้เป็นที่หลบภัยจากแผ่นดินไหว แต่หลังจากนั้นสึนามิได้ซัดเข้ามามาถึงชั้น 2 ของตัวอาคาร ซึ่งภายในอาคารเรียนได้มีการจัดแสดงภาพถ่ายและภาพวีดีทัศน์ของเหตุการณ์ต่างๆ ที่เล่าเรื่องราวของความน่ากลัวของคลื่นสึนามิตั้งแต่ตอนเกิดแผ่นดินไหว ตอนหลบภัย ตอนที่คลื่นสึนามิซัดเข้ามา ไปจนถึงการช่วยเหลือผู้ประสบภัย นอกจากนี้จากดาดฟ้าของโรงเรียน จะสามารถมองเห็นบรรยากาศการก่อสร้างเพื่อฟื้นฟูเมืองในบริเวณต่างๆ จากมุมสูงอีกด้วย

ตั้งอยู่ที่ชั้น 2 ภายในอาคารสถานี JR เซนได มีเจ้าหน้าที่ที่สื่อสารภาษาอังกฤษได้คอยให้ข้อมูลการท่องเที่ยวในเมืองเซนได จังหวัดมิยากิ รวมไปถึงป้ายรถบัส การเดินทางด้วยรถไฟหรือรถบัส อาหารขึ้นชื่อ ของฝากขึ้นชื่อ นอกจากนี้ท่านสามารถรับแผนที่ของจังหวัดมิยากิ แผนที่ของเมืองเซนได แผ่นพับแนะนำการท่องเที่ยวในเมืองเซนได แผนที่แสดงร้านลิ้นวัวย่าง และแผ่นพับอื่นๆ ที่แนะนำสถานที่ในภูมิภาคโทโฮคุ

ตลาดที่ตั้งอยู่หน้าสถานีเซนได มีร้านค้ากว่า 70 ร้านไม่ว่าจะเป็นร้านขายปลาตามฤดูกาล ร้านผัก ร้านผลไม้ เรียกได้ว่าเป็นแหล่งรวบรวมอาหาร เป็น "ครัวของเมืองเซนได" เลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีชาวต่างชาติเป็นจำนวนมากที่เข้ามาสัมผัสบรรยากาศและเลือกซื้ออาหารไปรับประทานกันอีกด้วย

สิ่งก่อสร้างที่ภายนอกเป็นเจ้าแม่กวนอิมขนาดใหญ่สูงถึง 100m ด้านในแบ่งเป็น 12 ชั้น แต่ละชั้นมีรูปสักการะขององค์มหาจินดามณี พระมหาไวยโรจนะ สิบสองนักษัตร และเจ้าแม่กวนอิมทั้งสามสิบสามปาง รวมทั้งอาคารมีรูปสักการะตั้งอยู่ถึง 108 องค์ ในอาคารมีหน้าต่างมองออกไปเห็นภายนอกที่เป็นวิวด้านตัวเมือง และด้านมหาสมุทรแปซิฟิก

เมืองเซ็นได ถือเป็นบ้านของทีมเบสบอลมืออาชีพของภูมิภาคโทโฮคุ "ราคุเท็น อีเกิ้ลส์" ทางฝั่งซ้ายประกอบด้วยสวนสนุก "กูลิโกะ สมายด์" ที่มีทั้งเครื่องเล่นอาทิเช่นม้าหมุน และชิงช้าสวรรค์ เหมาะสำหรับไปพักผ่อนกับเพื่อนๆและครอบครัว สามารถติดตามรายละเอียดการแข่งขันเบสบอล และจับจองตั๋วเข้าชมเบสบอลได้จากเว็บไซต์

ศูนย์ข้อมูลการท่องเที่ยวสำหรับชาวต่างชาติ ตั้งอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าฟูจิซากิ ชั้น 1　นอกจากไกด์ชาวต่างชาติที่สื่อสารภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และภาษาเกาหลีได้จะมาประจำอยู่ที่นี่เพื่อให้ข้อมูลการท่องเที่ยวเมืองเซ็นได จังหวัดมิยากิ และภูมิภาคโทโฮคุแล้ว ที่นี่ยังมีกิจกรรมแนะนำวัฒนธรรมที่เป็นที่นิยมในชาวต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งชุดกิโมโนและยูกาตะ บูทสำหรับชิมสุราญี่ปุ่น ที่นี่ยังมีไกด์นำเที่ยวซึ่งจะพาคุณเดินชมย่านช้อปปิ้ง และยังมีการประชาสัมพันธ์สถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์คช่องทางต่างๆอีกด้วย

สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1607 โดยดาเตะ มาซามุเนะ ตัวอาคารก่อสร้างในแบบของศาลเจ้าญี่ปุ่นโดยเชื่อมบริเวณสำหรับสักการะบูชา ส่วนคั่นกลาง และห้องโถงหลักไว้ในอาคารหลังเดียวกัน และถูกอนุรักษ์ไว้ในฐานะสมบัติของชาติเพียงแห่งเดียวในฐานะสถาปัตยกรรมในสมัยอัตสึชิโมโมยามะ ในวันที่ 14 มกราคมของทุกปี ศาลเจ้านี้จะมีงานปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายและเผาทำลายเครื่องรางเก่าของปีที่ผ่านมา พร้อมกับงานเทศกาล "ดอนโตะไซ" ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นการขับไล่ภัยพิบัติต่างๆและช่วยให้การค้าขายรุ่งเรือง

รถบัสวนรอบสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองเซนไดที่ได้รับการขนานนามว่า โมริโนะมิยาโกะ เหมาะกับนักท่องเที่ยวที่มีเวลาจำกัด เพียงแค่ 1 วันก็เที่ยวในเมืองเซนไดได้ โดยรถบัสคันนี้จะวนผ่านร่องรอยของปราสาทเซนได ซุยโฮเด็น ศาลเจ้าโอซากิฮะจิมังกู พิพิธภัณฑ์เมืองเซนได สามารถนั่งรถบัสได้แบบไม่จำกัดเที่ยวภายใน 1 วัน นอกจากนี้ยังจะได้รับสิทธิพิเศษจากสถานที่ที่เข้าร่วมรายการตลอดเส้นทางการเดินรถด้วย

ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำฮิโรเสะกาวะและแม่น้ำชินกาวะ โรงกลั่นแห่งนี้ผลิตเหล้ามอลต์ดิบ ใช้เครื่องกลั่นสุราด้วยวิธีการกลั่นทางอ้อมและการกลั่นแบบคาเฟ่สตีลอย่างต่อเนื่อง สำหรับการทัศนศึกษาโรงงานแห่งนี้ ท่านจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการผลิตวิสกี้และประวัติของวิสกี้นิกกะจากเจ้าหน้าที่ของโรงกลั่นอย่างละเอียด บรรยากาศรอบๆ โรงกลั่นแห่งนี้ ท่านจะได้เพลิดเพลินกับการผสมผสานระหว่างภูมิประเทศที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและการรักษาป่าไม้ไปพร้อมกันด้วย หลังจากทัศนศึกษาเสร็จแล้ว พลาดไม่ได้ที่จะทดลองดื่มวิสกี้ที่ผลิตจากโรงงานแห่งนี้

ร้านอาหารแนวคาเฟ่ที่รีโนเวตมาจากบ้านพักสมัยก่อน & จุดศูนย์กลางของการท่องเที่ยวเมืองอะคิอุ หากเป็นเวลาดื่มน้ำชา ขอแนะนำช็อกโกล่าสูตรดั้งเดิมที่ทำเลียนแบบรูปหินอะคิอุ เหมาะสำหรับทานกับกาแฟและเอสเปรสโซ่ นอกจากนี้ ยังพลาดไม่ได้กับอาหารมื้อกลางวันที่ใช้ผักแสนอร่อยจากท้องถิ่นในบริเวณนั้น รวมถึงการขี่จักรยานทัวร์ด้วย

อนุสาวรีย์ที่สร้างขึ้นเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2017 เพื่อเป็นการเชิดชูเกียรติให้กับชิซูกะ อาราคาวะ และยูซูรุ ฮานิว นักกีฬาฟิกเกอร์สเก็ตที่คว้าเหรียญทองเหรียญแรกในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว และมีการสร้างอนุสาวรีย์แห่งใหม่เพิ่มเติมเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2019 เพื่อเป็นการเชิดชูเกียรติให้กับฮานิว ที่คว้าแชมป์ 2 สมัยซ้อนจากการแข่งขันฟิกเกอร์สเก็ตในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่เมืองพย็องชัง

พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่จัดแสดงสัตว์น้ำกว่า 800 ชนิด ราว 130,000 ตัว มีอุโมงค์ใต้น้ำลอดใต้ตู้ปลาขนาดใหญ่ที่มีขนาดครอบคลุมชั้น 2-4 ซึ่งท่านจะได้สัมผัสกับฝูงซาร์ดีน ปลาโอและปลาอีกหลากหลายชนิดอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงปลาในเขตร้อนของทวีปเอเชีย สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่อย่างสิงโตทะเล พันธุ์ปลาน้ำลึกต่างๆ รวมถึงตู้จัดแสดง "ทะเลแห่งปะการัง" ก็เป็นที่ได้รับความสนใจจากผู้มาเยือนมากเช่นกัน

วัดแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1160 ซึ่งตรงกับช่วงปลายยุคเฮอัน โดยเจ้าหญิงโทะคุ แห่งตระกูลของฟุจิวะระ โนะ คิโยะฮิระ เพื่อเป็นสถานที่บูชาสักการะดวงวิญญาณของ โนริมิจิ อิวากิ ซึ่งเป็นสามีของตน ด้านหน้าของอะมิดะโดจะมองเห็นสระน้ำในสวนขนาดใหญ่ ซึ่งสวนนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็นดินแดนแห่งความบริสุทธิ์ ในฤดูร้อนจะเห็นดอกบัวสายพันธุ์โบราณบานสะพรั่งอย่างงดงาม ในฤดูใบไม้ร่วงจะเต็มไปด้วยสีสันของใบไม้เปลี่ยนสีเปีนสีเหลืองและสีแดงอร่ามตาเป็นอย่างยิ่ง วัดแห่งนี้ยังถือเป็นสมบัติประจำชาติของญี่ปุ่นแห่งเดียวในจังหวัดฟุกุชิมะ และที่สำคัญยังเป็นสถานที่ขอพรอันศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องความรักอีกด้วย

พิพิธภัณฑ์ถ่านหินและฟอสซิล เมืองอิวากิได้จัดแสดงประวัติศาสตร์ของเหมืองแร่ถ่านหินโจบังซึ่งมีความสำคัญต่อการปฏิวัติอุตสาหกรรมในช่วงที่ญี่ปุ่นได้เข้าสู่ยุคใหม่ที่ชาติตะวันตกเข้ามามีบทบาทในประเทศมากขึ้น ในพิพิธภัณฑ์มีการแสดงฟอสซิลที่ขุดพบในจังหวัดอิวากิเองและฟอสซิลที่ขุดพบในต่างประเทศต่างๆ รูปจำลองของโดโนเสาร์คอยาวพันธุ์ฟุตาบะซอรัสที่ขุดพบในเมืองอิวากิ การจำลองสภาพการขุดถ่านหินในสมัยก่อนเหมือนจริงซึ่งได้รับความสนใจจากผู้เข้าชมเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีห้องเรียนให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสประสบการณ์การทำแบบจำลองแอมโมไนต์จากของแอมโมไนต์ของจริงด้วย

ฟาร์มมะเขือเทศเชิงท่องเที่ยวที่ท่านจะได้สัมผัสกับเกษตรกรรมไปพร้อมกับลิ้มรสอาหารที่ทำจากมะเขือเทศและผักต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเก็บมะเขือเทศ ร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ผักสดๆ บริเวณสำหรับปาร์ตี้บาร์บีคิว ทดลองนั่งรถแห่งโลกอนาคตที่ชื่อว่า "INMOTION" เรียกได้ว่ามาที่นี่ท่านจะได้สัมผัสกับประสบการณ์เชิงเกษตรกรรมที่ "น่าประทับใจ" อย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังมีสินค้าออริจินัลของฟาร์มให้เลือกซื้อไปเป็นของฝากอีกด้วย

งานอาหารของเมืองมัตสึกาวะอุระเพื่อการฟื้นฟูการท่องเที่ยวในเมืองหลังจากเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ผ่านมา โดยมีคอนเซปต์การจัดแสดงอาหารตามฤดูกาล ซึ่งมีเรียวกังและร้านอาหารท้องถิ่นเข้าร่วมกว่า 10 ร้าน ท่านสามารถลิ้มรสข้าวหน้าต่างๆ อาหารชุดแบบต่างๆ ในสไตล์มัตสึกาวะอุระได้ นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนเมนูไปเรื่อยๆ ทำให้ผู้ที่มาเยือนในครั้งต่อๆ ไปสามารถมาเลือกหาอาหารอร่อยๆ ลิ้มรสได้ไม่มีวันเบื่อ ช่วงเวลาการจัดงานสามารถดูได้ทางเว็บไซต์

เทศกาลนี้เป็นการร่วมกันจัดของศาลเจ้า 3 แห่งในเขตฮามะโดริ คิตะบุ จังหวัดฟุกุชิมะ ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ จัดขึ้นเป็นระยะเวลา 3 วันในวันเสาร์ อาทิตย์และจันทร์ของสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกรกฎาคมเป็นประจำทุกปี ท่านจะได้เห็นกองทัพนักรบซามูไรสวมเสื้อเกราะขี่ม้าทำให้รู้สึกราวกับหลุดไปในยุคสงครามอีกครั้ง ไฮไลท์ของเทศกาลนี้อยู่ที่วันที่ 2 โดยจะมีการแข่งขันกันขึ่ม้าของเหล่านักรบซามูไรและการแย่งธงที่ถูกยิงขึ้นไปบนฟ้าด้วยดอกไม้ไฟ ซึ่งจะจัดขึ้นที่สนามฮิบาริกะฮาระไซโจจิ ภาพที่นักรบซามูไรขี่ม้าแข่งขันกันอย่างกล้าหาญจะเป็นภาพแห่งความประทับใจของท่านอย่างแน่นอน

เขตโอะฮามะ ฮาระกามะและอิโซเบะในเมืองโซมะเป็นพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจากภัยสึนามิที่เกิดขึ้นเมื่อเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ผ่านมา ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีการจัดแสดงภาพถ่ายของทิวทัศน์อันงดงาม เทศกาล ประเพณีต่างๆ ของแต่ละพื้นที่ก่อนที่จะได้รับความเสียหายจากภัยพิบัติ ตลอดจนมีการฉายภาพวีดีทัศน์ของ 3 เขตนี้หลังจากที่เกิดเหตุภัยภิบัติแล้วให้ผู้สนใจได้ชมกัน เพื่อเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวของความน่ากลัวของภัยจากแผ่นดินไหวในคนรุ่นหลังทั้งคนที่อยู่ในและนอกเขตพื้นที่ให้ได้รับรู้และเป็นการระลึกถึงผู้สูญเสียในเหตุการณ์ครั้งนี้ต่อไป

ศูนย์ข้อมูลการท่องเที่ยวที่ให้บริการครบวงจรทั้งข้อมูลการท่องเที่ยวในเมืองโซมะและข้อมูลของที่พักต่างๆ นอกจากนี้ยังมีทัวร์เยี่ยมชมการฟื้นฟูพื้นที่ใน 4 รูปแบบให้เลือกชม ได้แก่ "ศูนย์ป้องกันภัยพิบัติ" "เขตฟื้นฟูพื้นที่จิงคง" "สถาปัตยกรรมแบบญี่ปุ่น" "กีฬา" ในกรณีที่ผู้เข้าชมเป็นกลุ่มมากกว่า 10 คนขึ้ไป จะมีอาสาสมัครเป็นไกด์พาเดินชมและคอยให้คำอธิบายของสถานที่ต่างๆ ด้วย

ศูนย์การท่องเที่ยวและผลิตภัณฑ์แห่งนี้มีคอนเซปต์ที่ว่า "ของดีเมืองอิวากิมารวมอยู่ที่นี่ทั้งหมดหมด" ประกอบด้วย 6 โซน เช่น โซนประมูลซื้อวัตถุดิบจากทะเลชนิดต่างๆ ซึ่งส่งตรงมาที่นี่จากทั่วประเทศ โซนร้านอาหาร โซนร้านขายของฝาก เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีเคาน์เตอร์ให้ข้อมูลเมืองอิวากิ และมีบริการล่องเรือท่องเที่ยวขนาดใหญ่ชมอ่าวโอนาฮามะด้วย

ตั้งอยู่ติดกับจุดพักรถมินามิโซมะคาชิมะบนทางสายพิเศษโจบัง มีร้านอาหารที่ใช้วัตถุดิบจากท้องถิ่น ร้านขายของฝากที่รวบรวมทั้งผัก ขนม งานหัตถกรรมพื้นบ้านไว้ให้เลือกซื้อหากัน ภายในอาหารมีการจัดแสดงหุ่นนักรบซามูไรเท่าตัวจริงใน "เทศกาลโซโมะ โนมะโออิ" ซึ่งถือว่าเป็นเทศกาลที่ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกทางวัฒนะรรมที่ไม่สามารถจับต้องได้ และพลาดไม่ได้คือโซนสำหรับเลือกซื้ออาหารของจังหวัดฟุกุชิมะกลับบ้าน ซึ่งได้รับความนิยมจากผู้มาเยือนเป็นอย่างมาก

ในบริเวณประกอบด้วยสวนน้ำในฤดูร้อนและบ่อออนเซ็นกลางแจ้งขนาดยักษ์ 5 บ่อ โรงแรมในหลากหลายรูปแบบอีก 4 แห่ง สนามกอล์ฟ 27 หลุม มีสไลด์เตอร์ต่างระดับที่มีความสูงและมีขนาดใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังสามารถชมการแสดงของชาวพอลินีเซีย เช่น การเต้นระบำฮาวายได้ที่นี่อีกด้วย

มินามิโซมะ โซลาร์ อะกรีพาร์ค เป็นสถานที่ที่ปรับเปลี่ยนพื้นที่ประสบภัยจากสึนามิให้เป็นแหล่งเรียนรู้เชิงประสบการณ์โดยเฉพาะการเรียนรู้เกี่ยวกับระบบการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ เป็นสถานที่ที่ส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กๆ ที่อาศัยอยู่ในท้องถิ่นและยังเปิดให้คนทั่วไปที่สนใจเข้าเยี่ยมชมได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งการเรียนรู้เกี่ยวกับระบบการหมุนเวียนพลังงาน ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสถานที่แห่งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนต่อไป

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีการจัดแสดงเรื่องราวของเทศกาล "มินามิโซมะ โนมะโออิ" ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของญี่ปุ่น ธรรมชาติอันงดงามของเมืองมินามิโซมะ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ชีวิตความเป็นอยู่ของคนในเมือง ในห้องจัดแสดงทั่วไปจะมีการแสดงแบบจำลองขนาดย่อของการแข่งขันกันขี่ม้าแย่งธงที่ถูกยิงขึ้นไปบนฟ้าด้วยดอกไม้ไฟ ซึ่งเป็นไฮไลท์หนึ่งของเทศกาลมินามิโซมะ โนมะโออิ เสื้อเกราะแบบต่างๆ ฟอสซิลโบราณจนถึงฟอสซิลยุคใหม่ที่ขุดพบ อุปกรณ์เครื่องมือทางการเกษตร รวมถึงเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์อื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงนิทรรศการพิเศษประมาณปีละ 2 ครั้ง และมีเวิร์คช็อปการเรียนรู้ (ต้องจองก่อนล่วงหน้า) อีกด้วย

จุดชมวิวบนเนินสูงที่มองเห็นมหาสมุทรแปซิฟิกอย่างสุดลูกหูลูกตา ตัวประภาคารสีขาวสะอาดตาตัดกับท้องฟ้าสีฟ้าชัดเจน ประภาคารเช่นนี้มีให้ชมเพียง 16 แห่งทั่วประเทศ ด้านในประภาคารสามารถเดินขึ้นไปยังจุดสูงสุดเพื่อชมวิวทะเลที่สวยงามกว้างใหญ่ยิ่งขึ้นไปอีกได้

สร้างขึ้นโดยผู้ครองแคว้นลำดับที่18 นามว่า โซมะ โยชิทาเนะ ในปีค.ศ. 1643 ตระกูลโซมะจึงถูกยกย่องเป็นพระเจ้าที่มีชีวิตตั้งแต่นั้น ด้านในทั้งห้องโถงหลัก ห้องสวด และห้องสักการะล้วนสะท้อนศิลปะแบบโมโมยามะซึ่งโด่งดังในสมัยนั้น และได้รับการยกย่องให้เป็นสมบัติประจำชาติในยุคปัจจุบัน งานแสดงซามูไรบนหลังม้าซึ่งจะจัดขึ้นในวันเสาร์สุดท้ายของเดือนกรกฎาคม ในเขตปราสาทโซมะนากามุระ ซึ่งนักแสดงแต่ละท่านได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มงวด เทศกาลใหญ่อีกครั้งหนึ่งของที่นี่จะจัดในวันที่ 18～19 เดือนเมษายนซึ่งเป็นช่วงที่ดอกซากุระสวยที่สุด

วนอุทยานที่สร้างขึ้นเพื่อให้ทุกท่านได้สัมผัสความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติในมัตสึคาวะอุระ และปลูกฝังค่านิยมอนุรักษ์ธรรมชาติ หลังจากได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงในเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิ วนอุทยานแห่งนี้ได้เปิดให้เข้าชมอีกครั้งในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2012 บนพื้นที่กว้างกว่า 5,000㎡ ยังมีสิ่งก่อสร้างที่เป็นที่ระลึกของเมือง "ฟุรุซาโตะโซมะคะฮิ" ซึ่งจะบรรเลงเพลง Chainsawart และ Totem pole เมื่อเซ็นเซอร์ทำงาน

รับชมวีดีโอบอกเล่าถึงความเสียหายเมื่อครั้งประสบภัยสึนามิ และกระบวนการฟื้นฟูบ้านเมืองจนเวลาผ่านไป 7 ปี หลังจากนั้นเราจะพาท่านไปชมอาคารและชุมชนที่ฟื้นตัวขึ้นใหม่ พาหนะที่เลือกใช้มีทั้งรถยนต์ส่วนบุคคล และรถบัสพร้อมไกด์นำทาง ใช้เวลารวมทั้งหมด 120 นาที สามารถเพิ่มออฟชั่นให้มีการบรรยายเรื่องราวเพิ่ม（ค่าใช้จ่าย 2,000เยน）

สถานที่ลงเล่นน้ำทะเลที่ทราบกันว่าเป็นแหล่งเล่นวินด์เซิร์ฟชื่อดังของญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2019 ได้เปิดให้บริการอีกครั้งในรอบ 9 ปี หลังจากเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามินอกชายฝั่งแปซิฟิกโทโฮคุ ค.ศ. 2011 ซึ่งวันที่เปิดให้บริการนั้นตรงกับวันเปิดทะเลให้ผู้คนลงเล่นน้ำได้ จึงเนืองแน่นไปด้วยผู้คนมากมาย เนื่องจากมีการจัดการแข่งขันวินด์เซิร์ฟมืออาชีพด้วย นอกจากนี้บริเวณดังกล่าวยังเป็นสวนสาธารณะคิตะอิสุมิไคฮินโซโกโคเอ็น ซึ่งท่านจะได้เพลิดเพลินกับลานดอกไม้ ลานเนินเขา และทางเดินเล่นในสวนอีกด้วย

ทาวเวอร์สูง 59.99 เมตรที่ตั้งอยู่ภายในสวนสาธารณะมิซากิ ซึ่งมีพื้นที่รวมทั้งหมดกว่า 700,000 ตารางเมตรบนคาบสมุทรทางทิศตะวันออกของเมืองอิวากิ จากห้องชมวิวที่ตั้งอยู่บนความสูงจากระดับน้ำทะเล 106 เมตร เมื่อท่านมองลงมา ท่านจะพบกับทิวทัศน์สีเขียวขจีของต้นไม้ภายในสวน และเมื่อกวาดสายตาออกไปจะมองเห็นทิวทัศน์ของเมืองอิวากิอันงดงามได้ นอกจากนี้ ยังพลาดไม่ได้กับทิวทัศน์จากระเบียงบนดาดฟ้าที่สามารถมองเห็นวิวพาโรนามา 360 องศาจากมหาสมุทรแปซิฟิกไปถึงในตัวเมืองได้

พื้นที่ทำกิจกรรมที่เต็มไปด้วยแหล่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน นอกจากกิจกรรมเช่าจักรยานขี่เล่นแล้ว ยังมีโรงแรมที่พักและร้านอาหารไว้ให้คอยบริการด้วย หลังจากเล่นกีฬาจนเหงื่อออกแล้ว ก็มาลงแช่ออนเซ็นธรรมชาติ 100% จากแหล่งต้นน้ำที่ "เท็นจินมิซากิออนเซ็น ชิโอกาเสะโซ" กัน ขอแนะนำให้พักที่ "เท็มโบโนะชุคุ เท็นจิน" ซึ่งสามารถมองเห็นมหาสมุทรได้จากทุกห้อง

ศูนย์เทรนนิ่งนานาชาติแห่งแรกในวงการฟุตบอลของญี่ปุ่น เปิดให้บริการอีกครั้งเมื่อเดือนกรกฎาคม 2018 หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามินอกชายฝั่งแปซิฟิกโทโฮคุ ค.ศ. 2011 มีโรงแรมสไตล์รีสอร์ทที่มีห้องฟิตเนส สระว่ายน้ำ อ่างอาบน้ำที่มองเห็นทิวทัศน์ ร้านค้า ร้านอาหาร 2 แห่ง นอกจากจะเล่นกีฬาได้แล้ว ยังเหมาะกับผู้ที่มาติดต่อธุรกิจหรือเดินทางมาท่องเที่ยวด้วยเช่นกัน